วันจันทร์ที่ 23 เมษายน พ.ศ. 2555

Visit Japan 21-27 Mar.Nagano&Niigata #3

        มาถึงที่สนามบินนาริตะกันแล้วจ้า ของวันที่ 22 มี.ค. อากาศแบบเย็นๆ อีกแล้ว บรื้อ!!!! เบลมาญี่ปุ่นเป็นครั้งที่สามแล้วจ้า รอบนี้ไปที่จังหวัดนากาโน่ ซึ่งเปรียบเสมือนเป็นหลังคาของญี่ปุ่น

ใช้เวลาในการเดินทางประมาณสี่ ชม. ครึ่งมาถึงที่จังหวัดนากาโน่แล้วคะ เวลาประมาณเที่ยงกว่าๆ ก็ขอรับประทานอาหารเพื่อเติมพลังกันก่อนนะคะ ที่ร้าน OKINOYA



ไปยังสถานที่แรกสำหรับทริปนี้กันเลยคะ ศาลเจ้า SUWA AKIMIYA เป็นศาลเจ้าย่อยๆของ NAGANO คะ มีอายุราวๆประมาณ 220 ปีเชียวนะ เก่าแก่มากจริงๆคะ และยังมีต้นไม้ประจำศาลเจ้าที่มีมาก่อนศาลเจ้าจะก่อตั้งเสียอีก อายุตั้ง 700 ปี คนญี่ปุ่นเค้าเรียกต้นไม้นี้ว่า SLEEPING TREE พอถามๆคนประจำศาลเจ้าดูก็มีตำนานเล่ากันว่า เจ้าต้นไม้นี้จะคอยให้เด็กๆตัวน้อยๆ ที่กำลังร้องไห้งอแงในยามค่ำคืน พ่อแม่ก็ไม่รู้จะทำยังไงก็เลยพามาที่นี่ พอเด็กๆมาอยู่ใกล้ๆกับต้นไม้ก็พลอยทำให้หลับปุ๋ยไปเลยล่ะคะ
ศาลเจ้า SUWA




นี้ก็คือบรรดาถังเหล้าสาเก ที่คนญี่ปุ่นนำมาถวายพระ ที่อยู่ประจำศาลเจ้าแห่งนี้คะ คงจะเป็นการนำมาถวายในวันงานเทศกาลไรงี้ หรือเป็นเพราะอากาศหนาว ทำให้ต้องเพิ่มความอบอุ่นด้วยการดื่มเหล้าด้วย แต่ถ้าเป็นของไทยเองล่ะก็ผิดศีลข้อห้าเต็มๆเลยล่ะคะ อิอิ



ไม่ไกลจากศาลเจ้า เบลก็ได้เดินมาที่พิพิธภัณฑ์ GISHODO ซึ่งเป็นพิพิธภัณฑ์นาฬิกาของประเทศจีนคะ มีการอธิบายกลไกการทำงานต่างๆ รวมถึงประวัติความเป็นมาตั้งแต่ยุคเก่าๆ กันเลยล่ะคะ
พิพิธภัณฑ์นาฬิกา GISHODO

เดินมาอีกนิดนึง (หลายที่ในย่านเดียว) ที่พิพิธภัณฑ์กล่องดนตรี SUWAKO ORGEL ซึ่งได้รวบรวมกล่องดนตรีไว้มากมาย ตั้งแต่ยุคเก่าๆ ซึ่งมีความไพเราะ ความน่ารัก และบางชิ้นก็อลังการมากๆเลยด้วย สำหรับใครที่ชอบความคลาสสิคของกล่องดนตรี ห้ามพลาดสถานที่นี้เป็นอันขาดคะ

พิพิธภัณฑ์กล่องดนตรี SUWAKO ORGEL


จะหมดไปอีกวันแล้ว เบลมาชมบรรยากาศยามเย็นกันที่ทะเลสาบ SUWA คะ ซึ่งจากภาพก็จะเห็นใช่มั้ยล่ะคะ ว่ามันโรแมนติคขนาดไหน จนได้สมญานามว่า "สวิตเซอร์แลนด์แห่งญี่ปุ่น"

ทะเลสาบ SUWA


ข้างๆทะเลสาบก็จะมีบ่อน้ำพุร้อน ที่จะพุ่งออกมาให้ได้ตื่นตาตื่นใจกัน แต่เป็นระบบปิด-เปิดที่คนญี่ปุ่นเค้าทำขึ้นมา พุ่งเป็นเวลาคะ ลองนึกภาพดูกันนะคะฉากหลังเป็นทะเลสาบ แสงแดดส่องสะท้อน So Happy<3



ใกล้ๆกัน ก็มีบ่อไว้บริการให้แช่ออนเซนแบบฟรีๆซะด้วย แต่ไม่ต้องคิดไกลคะ เค้ามีไว้ให้แช่เท้าแค่นั้น ห้ามลงไปแช่ทั้งตัวนะคะ ระวังจะเน่าเพราะเท้าใครต่ิอใครที่มาใช้บริการ555



ถึงเวลาพักผ่อนกันแล้วคะ คืนแรกที่ญี่ปุ่น วันนี้เบลมานอนที่โรงแรม RAKO HANANOI กันคะ มื้อค่ำวันนี้สำหรับคืนนี้เป็นแบบ Welcome Party ต้อนรับพวกเราผู้มาเยือน(ดูเท่ดีมั้ยล่ะคะ) ด้วยเมนูขึ้นชื่อของ SUWA เค้าล่ะ อร่อยแบบญี่ปุ่นอีกล่ะ



เช้าวันที่สอง เบลเดินทางมาที่เมือง MATSUMOTO ใช้เวลาเดินทางประมาณ 1 ชม. มาที่ปราสาท MATSUMOTO หรือที่เรียกกันว่าปราสาทอีกา เพราะตัวปราสาทมีสีดำ และสองข้างของปราสาทก็กางออกเหมือนปีกนกนั้นเองคะ มีอายุราวๆ 420 ปี ซึ่งมีทั้งหมด 6 ชั้นด้วยกัน และยังคงสภาพเดิมจนถึงปัจจุบัน เก่าแล้วยังดูขลังดีจัง:)




ภายในตัวปราสาทก็มีช่องลับมากมาย ในสมัยก่อนหากมีศัตรูหรือข้าศึกบุกเข้ามา คนในปราสาทก็จะยิงธนูหรทอปืนออกไปจากช่องนี้ โดยที่ศัตรูด้านนนอกไม่สามารถมองเห็นคนที่อยู่ภายในแปราสาทได้ กลไกเค้าเยอะจริงๆ ปัจจุบันปราสาทแห่งนี้ได้ขึ้นทะเบียนเป็นสมบัติประจำชาติแล้วด้วย

ชุดซามูไรในสมัยก่อน ที่จัดแสดงอยู่ในปราสาท แต่ในตอนนี้หลงเหลืออยู่ไม่กี่ชุดแล้วคะ เป็นเกาะป้องกันมีดดาบ แต่ไม่กันกระสุนปืนนะค่ะ


มาต่อกันที่โรงงานผลิตนาฬิกาชื่อดังอย่าง SEIKO ที่เป็นที่รู้จักกันดีในหมู่คนไทย และทั่วโลก เบลคิดว่าคงแบ่งโรงงานการผลิตเป็นแบบแต่ละเกรด แต่ละเนื้องาน เพราะโรงงานที่เบลมาดูนี้ เค้าผลิตนาฬิกาขั้นต่ำก็อยู่ที่เรือนละ 100,000 เยนขึ้นไปคะ


ตัวอย่างนาฬิกาที่ประดับไปด้วยเพชรทำด้วยมือ กว่าจะได้แต่ละเรือนต้องปราณีตสุดๆคะ เห็นแล้วก็อยากได้กับเค้าสักเรือน แต่งบน้อยคงต้องรอไปอีกนานแสนนาน><

และที่โรงงานแห่งนี้ผลิตอีกยี่ห้อหนึ่งก็คือ GRAND SEIKO ซึ่งเป็นนาฬิกาที่ได้รับความนิยมในหมู่คนมีตังค์คะ ที่บ้านเีราก็วางจำหน่ายอยู่ในห้างดังๆ อย่างพารากอนด้วยนะคะ

เดินทางกันอีกแล้วคะ มาที่เมือง AZUMINO ที่ฟาร์มวาซาบิ DIAOH แต่ตอนนี้ขอเติมพลังด้วยเมนูที่มีส่วนประกอบเป็นวาซาบิก่อนนะคะ



อิ่มกันแล้ว ก็ขอทำหน้าที่ต่อคะ ไร่วาซาบิแห่งนี้ จะใช้น้ำจากธรรมชาติที่ไหลผ่านลงมาที่ฟาร์ม และกว่าจะโตจนเก็บเกี่ยวได้ก็ใช้เวลาประมาณ 2 ปีเชียวนะ กว่าจะได้ออกมาที่เราชอบทานกันไงล่ะคะ


ใครที่ยังไม่เคยเห็นรูปร่างหน้าตาของเจ้าวาซาบิ ส่วนที่เราชอบทานกัน ก็ดูจากรูปเลยละกันคะ เป็นส่วนหัวที่อยู่ในดิน ก้อนำมาสไลด์เป็นฝอยๆผงๆ เพิ่มความเผ็ดร้อนให้จี๊ดขึ้นสมองกันไปเรยยย


เหล่าบรรดาของฝากมากมายให้ได้เลือกซื้อฝากกันคะ ของทุกอย่างก็มาจากเจ้าต้นวาซาบิทั้งนั้น เพราะทุกส่วนสามารถนำมารับประทานได้หมด


ยังเอามาทำเป็นไอศกรีมวาซาบิได้ด้วย รสชาติก็แสนหวาน โดยมีกลิ่นความหอมของวาซาบินิดหน่อยคะ


เข้าเมืองกันแล้วววว มาที่เมือง NAGANO แวะที่ร้าน YAHATAYA ISOGOROU จำหน่ายผลิตภัณฑ์ต่างๆ ที่ทำจากพริกทั้งนั้นเลย 


เดินข้ามถนนไม่ไกลจากร้านมากนัก มาที่วัดเซนโคจิ ZENKO-JI ซึ่งเป็นวัดพุทธแห่งแรกของญี่ปุ่น อายุก็เก๋าเก่า 1,400 ปี และเป็นเพียงวัดเดียวที่ยอมให้ผู้หญิงเข้าร่วมพิธีกรรมของวัดอีกด้วย วัดนี้ยังมีความพิเศษที่ว่าจะมีช่องทางสู่วรรค์ เบลก็ลงไปเดินทางด้วยนะจ๊ะ ในนั้นจะมืดมากกกกก มองไม่เห็นอะไรเลยจริงๆ ก็จะคอยเดินจับราวไปเรื่อย ในนั้นจะมีกุญแจแห่งสวรรค์ หากใครจับได้ก็จะได้ไปสวรรค์ ตอนแรกเบลก็ไม่รู้หรอกคะว่าจับอะไร คิดว่าที่คล้องเหล็กด้วยซ้ำไป ก็เป็นความเชื่อของแต่ละบุคคลนะคะ


หิวๆๆๆๆ มื้อค่ำวันนี้ ขอวัดหนักกับเมนูซาชิมิกันสักหน่อย 




คืนนี้เบลมาพักกันที่ YUDANAKA ONSEN นอนแบบญี่ปุ่นอีกแล้วคะ แสนจะสบายได้อรรถรสจริงๆ


มอนิ่งยามเช้าอีกแล้วคะ วันนี้เบลจะไปกันที่ JIGOKUDANI YAEN-KOEN SNOW MONKEY PARK ซึ่งเป็นแหล่งรวมลิงจากภูเขา ที่เดียวในโลกจริงๆคะ ที่จะได้เจอเจ้าลิงมากมายลงมาแช่ออนเซน รักษาผิวพรรณกันน่าดู


เดินทางมาต่อกันที่ไร่สตอเบอรี่ที่เบลรอคอยกันแล้วคะ อยากมานานล่ะ555 ที่นี่เค้าก็ให้เข้าไปเก็บจากต้นกันสดๆ ที่ SHIGA AGULI PARK เกินคำบรรยายว่ามันเด็ดแค่ไหน จิ้มนมข้นหวานสักหน่อย OISHI!!


ไปต่อกันอีกที่ KARUIZAWA PRINCE ซึ่งอยู่ท่ามกลางธรรมชาติ เป็นสกีรีสอร์ทของโรงแรม PRINCE SNOW RESORTS ซึ่งเป็นแหล่งรวมเด็กๆ ที่เพิ่งหัดเล่นมาฝึกเล่นกันที่นี่ 




นั่งรถต่อไปกันที่น้ำตก SHIRAITO NO TAKI ชมธรรมชาติแบบโรแมนติก เป็นน้ำตกขนาดเล็ก กว้างแค่ 70 ม. สูง 3 ม. วัยรุ่นญี่ปุ่นมักจะมาแฟนมาสวีทกันคะ




คืนนี้ขอพักร่างอันโรยรากันที่ KARUIZAWA PRINCE ที่อยู่ท่ามกลางธรรมชาติ เสียดายที่ต้นซากุระยังไม่ผลิดอกออกผล ไม่งั้นคงได้บรรยากาศกว่านี้เยอะเลย ซึ่งโรงแรมแห่งนี้ก็ใกล้ๆกับ OUTLET อีกด้วย เดินไปชอปปิ้งกันสบายๆเลยล่ะคะ






เช้าวันใหม่สดใสแข็งแรง นั่งรถยาวๆกันยาวๆอีกแล้วคะ สามชั่วโมงมายังจังหวัด NIIGATA ก็เที่ยงพอดิบพอดี แวะทานอาหารขึ้นชื่อของจังหวัดกันก่อน อย่างโซบะ และเทมปุระกันที่ร้าน OSHIBORI 




หลังมื้อเที่ยง เบลก็เข้ามายังพิพิธภัณฑ์ปลาคาบ NISHIKIKOI ที่นี่เปิดเป็นทั้งพิพิธภัณฑ์และที่รับฝากเลี้ยงปลาคาบอีกด้วย โดยเปิดให้นักท่องเที่ยวและผู้สนใจได้เข้าไปชม มีหลายสายพันธุ์ ซึ่งแต่ละชนิด แต่ละตัวจะมีลวดลายไม่ซ้ำกันเลย ราคาที่แพงที่สุดจะอยู่ที่สิบล้านเยน วู้วววว!!!!!




ต่อไปมากันที่ THE NORTHTHERN CULTURE MUSEUM มาดูบ้านชาวนากันคะ ซึ่งก็ไม่ใช่ชาวนาธรรมดานะคะ จะเป็นคนที่มีฐานะร่ำรวยในสมัยก่อนคะ เจ้าของคือ BUNKICHI ITO ลักษณะบ้านจะเป็นแบบดั้งเดิมมากๆ มีห้องอยู่ในบ้านถึง 65 ห้องด้วยกัน จัดเป็นสัดสวนมากๆ และสวนในบ้านนี้ก็ได้รับการตกแต่งตามวัดคิงคาขุจิ ที่เกียวโตอีกด้วยคะ (แต่เสียดายในวันที่ไป อากาศไม่เป็นใจเท่าไหร่ ภาพที่ได้เลยไม่งามพอคะ)




สถานที่ต่อไปคือ บ้าน ENKIKAN ซึ่งปัจจุบันนี้เป็นพิพิธภัณฑ์ที่เปิดให้คนทั่วไปได้เข้าชม และมีการสอนวิธีการชงชาแบบเบื้องต้นด้วยนะคะ




มื้อเย็นกันอีกแล้วสำหรับวันนี้ ที่ร้าน TOMIZUSHI ของเมือง NIIGATA ขออวดด้วยรูปล่ะกันเนอะ^^




คืนนี้มาพักโรงแรมแบบ BUSINESS ที่ NIKKKO NIIGATA ห้องกว้าง วิวสวย บรรยากาศไม่แออัดดีจัง




เช้าอีกหนึ่งวันล่ะคะ เก็บบรรยากาศจากจุดชมวิวของโรงแรมคะ ซึ่งติดกับแม่น้ำ SHINANO จะเป็นปากอ่าวที่ออกสู่ทะเลญี่ปุ่น




ช่วงเช้าวันนี้เบลมายังอำเภอ TSUBAME ที่โรงงาน  GYUKUSENDO มาดูผลิตภัณฑ์ของใช้ต่างๆ ที่ทำจากทองแดง เป็นงานหัตถกรรมที่ต้องใช้ทักษะและความชำนาญมากๆ กว่าจะได้แต่ละชิ้น ก็ต้องอาศัยความชำนาญจากช่างนี่ละคะ ถ่ายทอดจากรุ่นสู่รุ่นกันเลยทีเดียว




เย้ๆ เดินทางมาถึงที่ศาลเจ้า YUHIKO กันแล้ว เป็นศาลเจ้าที่มีชื่อเสียงมากที่สุดอีกแห่งหนึ่งของจังหวัด NIIGATA คนส่วนใหญ่จะมาขอพรเรื่องความรัก และเรื่องสุขภาพกันคะ การขอพรที่นี่ก็จะต่างจากที่อื่น คือ คำนับ 2 ครั้ง ตบมือ 4 ครั้ง และคำนับ 1 ครั้ง เบลก็ตั้งจิตอธิษฐานเลยคะ เผื่อจะมีความรักกับเค้าบ้าง555




ถึงเวลากินกันอีกแล้วกับมื้อเที่ยงที่ร้าน YOSHIDAYA ซึ่งจะอยู่ใกล้ๆกับศาลเจ้าเลย 




ชีวิตคือการเดินทางคะ เดินทางกันต่อมายังเมือง YUZAWA ที่ GALA YUZAWA SNOW RESORT ซึ่งมีความสูงถึง 800 ม. จากระดับน้ำทะเล สำหรับนักท่องเที่ยวทั่วไปที่อยากลองสัมผัสการเล่นสกี หรือสโนบอร์ดคะ นอกจากจะมีสกีให้เล่นแล้ว ที่นี่ก็ยังมีบริการอื่นๆ สำหรับใครที่เบื่อการเล่นสกี หรืออยากผ่อนคลายจากการเล่นสกีเสร็จคะ เช่น แช่ออนเซน สระว่ายน้ำ จากโตเกียวจะมีรถไฟชิงกันเซนมายังสถานี YUZAWA ด้วย แต่จะมีเฉพาะช่วงหน้าหนาวเท่านั้นคะ 12-13 เที่ยวต่อวัน ใช้เวลาเดินทาง 77 นาทีเท่านั้น


เบลก็ได้นั่งรถโกยหิมะด้วยนะ

คืนสุดท้ายสำหรับทริปนี้กันแล้ว เบลมานอนที่โรงแรม FUTABA ที่อยู่ท่ามกลางธรรมชาติมากๆ แถมในห้องยังมีอ่างอยู่ริมระเบียงสำหรับแช่ออนเซนส่วนตัวด้วยล่ะ ดึกๆหน่อยเบลก็จัดแจงเลยคะ มองซ้ายมองขวาว่ามีใครจะเห็นบ้าง พอได้ทีก็รีบลงอ่างเลย ขอบอกว่าสบายสุดๆ แช่ไปก็มองธรรมชาติที่เต็มไปด้วยหิมะปกคลุม อะไรจะวิเศษเท่านี้ไม่มีล่ะ ^^




วันสุดท้ายของทริปนี้กันแล้วคะ มายังสถานีรถไฟ YUZAWA เพื่อเตรียมขึ้นรถไฟกลับมายังโตเกียว ซึ่งในสถานีก็เต็มไปด้วยสินค้าพื้นเมืิองนานาชนิดคะ ให้ได้เลือกซื้อเป็นของฝากกัน และพิเศษไปกว่านั้นยังมีส่วนที่ขายผลิตภัณฑ์เหล้าสาเกด้วย สำหรับใครที่อยากลองชิมก่อนว่าแต่ละขวดอร่อยแค่ไหน ก็มีที่ชิมแบบไม่ธรรมดานะจ๊ะ เป็นแบบตู้หยอดเหรียญจ๊ะ ทันสมัยดีจริงๆ




ถึงเวลานั่งรถไฟกลับมายังสนามบินกันแล้ว เวลาช่างผ่านไปเร็วเหมือนเกิน ยังสนุกอย่เลยคะ แต่ด้วยหน้าที่และความรับผิดชอบอันมากมายที่ไทย คงต้องกลับไปเผชิญโลกแห่งความจริง5555 ซาโยนาระ หากเราเป็นคู่แท้ต่อกัน ขอให้ได้กลับมาเยือนญี่ปุ่นอีกหลายๆครั้งล่ะกันคะ บ๊ายบายยยยย













วันจันทร์ที่ 12 มีนาคม พ.ศ. 2555

Visit Japan Tohoku

         มากันอีกหนึ่งเรื่องราว สำหรับการเดินทางของเบลคะ ทริปนี้เบลได้โอกาสไปที่ภาคโทโฮกุ ของประเทศญี่ปุ่น แบบ Fam Trip 2 - 8 ก.พ. 55 อบอุ่นด้วยนานาประเทศมากมายที่ร่วมเดินทางไปกับเบลครั้งนี้คะ ก็เริ่มจากเช็คอุณหภูมิกันก่อน เพราะช่วงที่เดินทางเป็นฤดูหนาว แถมมีหิมะตกซะด้วย คราวนี้ล่ะจะได้เห็นหิมะครั้งแรกกะเค้าสักที><

        การเดินทางวันแรกยามดึกของวันที่ 2 ก.พ. แบบเหงาๆ เพราะต้องไปเผชิญโลกอันกว้างใหญ่เพียงลำพังเป็นครั้งแรก โดยสายการบินเจแปน แอร์ไลน์ เที่ยวบินที่ JL 034 ที่อำนวยความสะดวกตลอดเส้นทาง หนูช๊อบชอบ ทำให้รู้สึกผ่อนคลายไปได้บ้าง เอาล่ะคะ สำหรับชั่วโมงบินประมาณ 6 ชั่วโมง ก็มาถึงสนามบินฮาเนดะเสียที ในตอนเช้าของวันที่ 3 ก.พ. เวลาหกโมงเช้า โดยมีเจ้าหน้าที่จาก JNTO คอยต้อนรับ ในระหว่างนี้ก็เจอเพื่อนร่วมทางอีก 1 คนจากสิงคโปร์

      ในวันนี้เบลพร้อมด้วยกระเป๋าเดินทางใบใหญ่อีกหนึ่งใบ เดินทางจากสนามบินฮาเนดะไปยัง Hamamatsucho โดยรถไฟ Monorail และทอดที่สองไปยังโตเกียว โดยรถไฟ JR Yamanote  ทอดที่สามไปยัง Koriyama โดยรถไฟ Shinkansen อีกประมาณ 1.20 ชม. และทอดสุดท้ายไปยังเมือง Aizuwakamatsu โดยรถไฟ Local Train เห็นความสมบุกสมบันของเบลแล้วใช่มั้ยคะ ว่าถึกและบึกบึนแค่ไหน555 ซึ่งเมืองไอซุวากะมัตซึ ซึ่งอยู่ในจังหวัดฟูกุชิม่า ซึ่งตลอดสองข้างทางก็เต็มไปด้วยหิมะเลยคะ มันช่างขาวนวลอะไรเช่นนี้ เห็นแล้วอยากจะเอาน้ำหวานสีแดงมาราดกินซะเลย อิอิ วันนี้หลังจากเหน็ดเหนื่อยจากการเดินทาง ก็เป็นวันอิสระสำหรับพวกเราในการพักผ่อน มาพักกันที่โรงแรม Washington Hotel ซึ่งเป็นโรงแรมที่อยู่ใกล้กับสถานีรถไฟ Aizu เลยคะ เดินเท้าโดยใช้เวลาแค่ 5 นาทีเท่านั้นจากสถานี

Washington Hotel @Aizu

พอเก็บของเสร็จ เบลก็ขอเดินไปสำรวจสถานที่ต่างๆ อย่างซุปเปอร์มาเก็ตในย่านนี้ ขอบอกว่าหนาวมากจริงๆคะ เข้าไปในซุปเปอร์มาเก็ตมุ่งตรงไปยังของกินเล่น อย่างชอกโกแลต ลูกอม ขนมขบเคี้ยวมากมาย เห็นแล้วอดใจไม่ไหวจริงๆ เลยต้องซื้อติดไม้ติดมือซะหน่อย ไว้ขบเคี้ยวก่อนนอนคะ><

Lion D'or The Supermarket
    
        เช้าวันที่สาม วันนี้เริ่มจากการประชุมก่อนการออกเดินทาง โดยรวมๆแล้ว มีผู้ร่วมทริปจากหลายประเทศประมาณ 12 คนด้วยกันคะ จากประเทศเกาหลี ฮ่องกง จีน และสิงคโปร์ เบลก็แอบภูมิใจนิดนึงนะที่ได้รับเกียรติเป็นคนไทยคนเดียวในทริปนี้คะ วันนี้เราจะไปกันที่ปราสาท Tsurugajo Castle ซึ่งเป็นปราสาทเก่าแก่ประจำเมือง Aizu จะมี 5 ชั้นด้วยกัน เปิดให้เป็นพิพิธภัณฑ์เป็นที่เรียบร้อยแล้ว ประวัติยาวๆ เป็นยังไง ลองเปิดหากันเพิ่มเติมดูนะจ๊ะ แต่ขอบอกได้เลยว่าสวยมากจริงๆ ตอนที่เบลไปก็ปกคลุมเต็มไปด้วยหิมะทั้งปราสาทเลย

Tsurugajo Castle@Aizu
ซามูไรเอโดะ ประจำปราสาท^^

        จากนั้นก็เดินทางไปยังเมือง Kitakata แวะชมแหล่งทำโมจิ ซึ่งเป็นกรรมวิธีแบบโบราณ โดยการนวดแป้งใช้ค้อนไม้ทุบๆ ซึ่งที่นี่เค้าก็ให้เราลองทำกันด้วยนะคะ และอีกหนึ่งอย่างคือการทำเครื่องประดับด้วยตัวเอง เบลก็ได้ลงมือทำกับเค้าเหมือนกันน้า สวยแค่ไหนไม่รู้ รู้แต่ว่ามีอันเดียวในโลกจากฝีมือเบลเองคะ ซึ่งทำมาจากไม้ เบลก็ไม่แน่ใจว่าเป็นไม้อะไร (เพราะฟังไม่ชัดจริงๆ):
การนวดแป้งโมจิแบบดั้งเดิม


ถึงเวลาอาหารกลางวันแล้วคะ เมนูก็ไม่ธรรมดาเลย ทั้งอาหารคาวและหวานมีส่วนประกอบเป็นโมจิทั้งนั้นเลยคะ อร่อยและได้สารอาหารครบจริงๆ

เมนู โมจิ:)

        ในช่วงบ่ายเราเดินทางมายังจังหวัด Niigata ซึ่งเป็นจังหวัดที่รายล้อมด้วยธรรมชาติมากๆ มาถึงที่ Tsukioka Onsen อยู่ที่เมือง Shibata ที่ยังคงมีบรรยากาศแบบดั้งเดิมจากญี่ปุ่น ที่นี่ก็จะมีออนเซนไว้บริการด้วยนะจ๊ะ ทั้งแบบส่วนรวม หรือแบบส่วนตัวสำหรับคนขี้อายทั้งหลาย และแบบห้องแต่ห้องของที่นี่ก็มีความหรูหราแตกต่างกันไป ถือเป็นโรงแรมขนาดใหญ่ประจำที่นี่เลยก็ว่าได้คะ
 Tsukioka Onsen
ออนเซนแบบส่วนตั๊วส่วนตัว
ห้อง Suite ขนาด 100 ตร.ม.  90,000 เยน/คืน

        ที่สุดท้ายสำหรับวันนี้ เดินทางมายังเมือง Murakami ที่นี่เลยคะสำหรับใครชอบปลาแซลมอน มารู้จักกับประวัติความเป็นมาตั้งแต่แลกเริ่ม ที่พิพิธภัณฑ์แซลมอน ที่นี่ก็เต็มไปด้วยสัตว์น้ำต่างๆ และอุปกรณ์การจับสัตว์น้ำที่นำมาจัดแสดงโชว์คะ

พิพิธภัณฑ์แซลมอน

เอาละคะ ถึงเวลาแห่งการพักผ่อนสำหรับคืนนี้สักที หลังจากปฏิบัติภารกิจประจำวันนี้เสร็จสิ้น กันที่ Senami Onsen เป็นแบบญี่ปุ่นดั้งเดิมจริงๆคะ หรือที่คนไทยรู้จักเรียกกันว่า แบบเรียวกัง ยามเช้าสามารถเปิดหน้าต่างมองเห็นทะเลซะด้วย เพราะโรงแรมนี้เค้าอยู่ติดทะเลญี่ปุ่นคะ อ๋อ!!ลืมบอกไป เค้ามีบริการออนเซน  แต่มีเฉพาะแบบส่วนรวมนะคะ (แต่ไม่ใช่มิกซ์ชายหญิงรวมกันนะคะ เค้ามีแยกห้องชาย-หญิงจ๊ะ)

Senami Onsen
เห็นวิวทะเลญี่ปุ่นจากหน้าต่างห้อง

มอนิ้งยามเช้าวันที่สี่ภารกิจวันนี้ ใช้เวลาประมาณสองชั่วโมงครึ่งไปยังเมือง Sakata ซึ่งอยู่ในจังหวัด Yamagata สถานที่แรกวันนี้ของเบลก็คือ ท่าเรือเพื่อออกสู่ทะเลญี่ปุ่นในการหาปลา บรรยากาศดีมากๆ ท้องเริ่มหิวๆซะละ มื้อเที่ยงวันนี้มาที่ร้านดังอย่าง Somaro เสิร์ฟด้วยเมนูญี่ปุ๊นญี่ปุ่นแบบดั้งเดิมอีกแล้ว รสชาติไม่ต้องพูดถึง แค่เห็นภาพก็น่าจะทราบว่าเด็ดแค่ไหนกันแล้วใช่มั้ยคะ^^


หลังจากอิ่มท้องกันถ้วนหน้าแล้ว ที่นี่เค้าก็มีการแสดงรำแบบดั้งเดิมของญี่ปุ่น อย่างเกอิชา จะมีนักแสดง Maiko มาร่ายรำให้เราได้เพลิดเพลินด้วย สวยแบบหน้าขาวก็น่าดูไปอีกแบบ อิอิ

การรำเกอิชา

บ่ายวันนี้ก็ไปต่อกันที่ Sakata Aqricultural Storehouse ซึ่งเป็นคลังข้าว และยังเป็นพิพิธภัณฑ์จัดแสดงเกี่ยวกับข้าวญี่ปุ่นตั้งแต่สมัยก่อน จนถึงปัจจุบันคะ


เย็นนี้จะต้องมีการประชุมธุรกิจ จึงต้องรีบกลับเข้าโรงแรมกันเร็วนิดนึงคะ คืนนี้เบลจะพักที่โรงแรม R&G หลังจากเสร็จสิ้นการประชุม ก็มีการจัดเลี้ยงเพื่อขอบคุณและต้อนรับพวกเราในทริปคะ


กินไม่อิ่มกันเลยคะ จากงานเลี้ยงนี้ เพราะต้องกินพอเป็นพิธี กินแบบสวยๆอะคะ 555 คืนนี้เบลและเพื่อนๆจากในทริปอีก 4 คน ก็ขอออกมาหาอะไรอร่อยๆใส่ท้องกันต่อคะ โบกแท็กซี่จากโรงแรมมุ่งไปร้านซูชิ ชิ้นใหญ่ และสดมากๆ^^


ฮัลโหลยามเช้าของการเดินทางอันแสนสนุกวันที่ห้าคะ นั่งรถไปที่เมือง Yamakata ยังโรงแรม Zao Onsen รายล้อมด้วยหุบเขา มาถึงออนเซนกลางธรรมชาติทั้งที ก็ขอแช่ให้ร่างกายได้ผ่อนคลายบ้างล่ะกันนะคะ

Zao Onsen
ช่วงบ่ายก็ได้เวลาขึ้นไปกันที่เทือกเขา Zao ซึ่งเป็นแหล่งท่องเที่ยว สำหรับนักท่องเที่ยวที่ชอบความท้าทายกับการเล่นสกี และยังเป็นปรากฎการณ์ที่หาดูได้ยากมากๆ กับอสูรกายน้ำแข็ง ที่ต้นไม้นั้นโดนปกคลุมไปด้วยหิมะ จะมีในช่วง ม.ค.-ก.พ. ซึ่งเทือกเขานี้จะแบ่งเป็น 2 ชั้นด้วยกัน ชั้นแรกมีความสูงถึง 1,331 ม. และชั้นที่สอง 1,661 ม. วัดจากระดับน้ำทะเล

เทือกเขา Zao
เทือกเขา Zao


 และในเย็นวันนี้ ไปต่อกันที่แม่น้ำ Mogami ได้มาล่องเรือชมธรรมชาติทั้งสองข้างทางซึ่งตอนนี้จะปกคลุมไปด้วยหิมะทุกที่จริงๆคะ ไม่เพียงเท่านั้น กัปตันเรือของเราก็ยังให้ความเพลิดเพลินด้วยการร้องเพลงให้ฟัง พร้อมกับกินอะไรบ้างอย่าง เบลก็ไม่รู้จักเหมือนกันคะ รู้แต่ว่ามันหนึบๆ จิ้มกับน้ำจิ้มที่มันเผ็ดๆ นิดหน่อย แต่อร่อยแบบแปลกๆดีเหมือนกันคะ

บรรยากาศการล่องเรือ แม่น้ำ Mogami

ถึงเวลาเข้าที่พักกันแล้วคะ คืนนี้มานอนแบบเรียวกังที่ Naruko Onsen เป็นเรียวกังแบบดั้งเดิมคะ ภายในห้องก็ตกแต่งสีสันสวยงามมากๆ ขอนอนเก็บแรงไว้ลุยวันพรุ่งนี้กันต่อก่อนนะคะ>,<

Naruko Onsen

        เช้าวันใหม่ของวันที่หก กับการเดินทางไปยังจังหวัด Miyagi ชมอ่าว Matsushima คะ แต่วันนี้น่าเสียดายตรงที่มีฝนตกลงมา ทำให้เห็นวิวทิวทัศน์ไม่เต็มที่เท่าที่ควร โดยการล่องเรือชมความงามไปเรื่อยๆ พร้อมทั้งให้อาหารนกที่คอยบินตามเรือไปด้วยคะ กลัวมันจะกินมือไปด้วย แต่ก็ขอลองสักครั้ง


        หลังจากนั้นเราก็ล่องเรือมาขึ้นยังอีกท่าเรือนึง เพื่อเดินทางต่อไปยังเมืองเซนไดคะ เมืองที่เคยเกิดแผ่นดินไหว และสึนามิได้รับความเสียหายมากมาย ขอทานมื้อเที่ยงกันก่อนนะคะ หลังจากนั้นก็เข้าสู่โรงแรม Metropolitan เพื่อเก็บกระเป๋าและสัมภาระกันก่อน เพราะภารกิจต่อไปคือ การร่วมประชุมเจรจาทางธุรกิจกับที่ท่องเที่ยว โรงแรม และสื่อต่างๆมากมาย และมีการจัดเลี้ยงเพื่อต้อนรับและขอบคุณจากเซนไดอีกครั้งคะ ถือเป็นงานใหญ่เลยทีเดียว ดูเป็นคนมีหน้ามีตาขึ้นมาเลยล่ะคะ 555  กว่าจะเสร็จจากงาน ก็ดึกเลย เพราะเหมือนเป็นคืนสุดท้ายก่อนที่จะจากกันสำหรับพวกเราในกรุ๊ป ไหนจะถ่ายรูป เป็นร้อยๆรูปแล้วมั้งคะ เหนื่อยแล้วก็ขอตัวไปนอนก่อนละ เพลียร่างมากๆ



       เช้าวันที่เจ็ด วันสุดท้ายสำหรับทริปนี้คะ ก็ถึงเวลาเก็บกระเป๋าสัมภาระ ตรวจเช็คของใช้ต่างๆ ในช่วงเช้าวันนี้ไปกันที่พิพิธภัณฑ์อัลปังแมน Anpanman Museum ซึ่งอยู่ในเมืองเซนไดนี่เลยคะ นั่งรถบัสจากโรงแรมไปประมาณ 10 นาทีก็ถึงแล้ว ถึงปุ๊บก็ต้องร้องว่า So Cute เลยล่ะคะ เพราะเห็นตัวการ์ตูนแต่ละตัว มันน่ารักมากจริงๆคะ ร้านของฝากก็เยอะแยะมากมายให้เลือกซื้อฝากน้องๆ หนูๆ เอาเป็นว่าดูรูปก็แล้วกันนะคะ ว่าเป็นอย่างที่เบลเอ่ยมาหรือป่าว

Anpanman Museum
ร้านขนมปัง Anpanman

        หลังจากนั้นก็กลับไปยังโรงแรม เพื่อกลับไปเอากระเป๋าของตัวเอง เดินทางกลับมายังโตเกียวต่อ โดยรถไฟชิงกันเซนคะ ลืมบอกไปว่าโรงแรม Metropolitan แห่งเซนได อยู่ติดกับสถานีรถไฟ และรายล้อมด้วยห้างต่างๆมากมาย รับรองถ้ามาพักที่นี่ เดินไปไหนก็ไม่มีหลงแน่นอนคะ ใช้เวลาการเดินทางจากเซนไดมาที่โตเกียวประมาณ 2 ชม. จากนั้นก็นั่งรถไฟต่อไปยังสนามบินนาริตะต่อคะ เดินทางกลับประเทศไทย โดยสายการบินที่คุ้นเคยอย่าง เจแปน แอร์ไลน์ เช่นเคยคะ

        ก่อนที่จะขึ้นเครื่องก็ใจหายเหมือนกันนะคะ มาเที่ยวทริปนี้ได้ทั้งความสนุก ตื่นเต้น มิตรภาพดีๆมากมายจากหลายประเทศ และการมาครั้งนี้ก็ทำให้รู้ว่า ประเทศญี่ปุ่นนั้นถึงแม้จะเจอมหาวิบัติทางธรรมชาติที่หลีกเลี่ยงไม่ได้มากมาย แต่เค้าก็ยังยิ้มได้ และพร้อมจะแก้ไขพัฒนา ปรับปรุงจนกลับสู่สภาพปกติ แทบจะไม่หลงเหลือคราบความเสียหายเลย ถ้าใครไม่เชื่อก็ต้องลองมาเที่ยวพิสูจน์ด้วยตัวเองดูนะคะ ว่าภาค Tohoku ธรรมชาติที่งดงาม สถานที่ท่องเที่ยวมากมาย ที่ใครมาแล้วก็ต้องติดใจเหมือนเบลนี่ละคะ

I Love Japan^^








  











วันอังคารที่ 27 ธันวาคม พ.ศ. 2554

First time in Japan

        ในที่สุดก็มีบุญได้ไปเมืองนอกกับเค้าซะที โฮะๆๆๆูู^^ เมื่อบริษัทที่เบลทำอยู่ ให้โอกาสไปญี่ปุ่น เบลก็ควรรีบคว้าไว้ก่อน จริงมั้ยค่ะ กำหนดการเดินทางก็คือวันที่ 4-9 ตุลาคม ที่ผ่านมานี่เองค่ะ ในหน้าที่ผู้ช่วยหัวหน้าทัวร์คนเก่งชื่อว่า พี่อุ้มสุดน่ารักของเบลเอง:) ไปคณะการดูงานของสมาคมบริษัทจดทะเบียนไทย (EDP) เป็นการไปเพื่อการเรียนรู้งาน ก็คงเป็นการไปฝึกตัวเบลนี่แหละค่ะ เพราะไม่เคยรู้ในการปฏิบัติจริงเลยค่ะ ว่าต้องทำยังไงบ้าง ควรพูดยังไง ไรงี้:(

        เบลจะขอเล่าประสบการณ์ตั้งแต่ที่สนามบินสุวรรณภูมิ กลางคืนวันแรกของการเดินทางที่           4 ตุลาคมกันเลยนะค่ะ เบลก็ต้องมาสแตนบายรอลูกค้าซึ่งเดินทางไปทั้งสิ้น 65 ท่านด้วยกันค่ะ ลูกค้าก้อทยอยกันมาเรื่อยๆ ซึ่งเรามีจุดนัดพบกันที่เคาน์เตอร์ R เวลาประมาณสามทุ่ม ซึ่งขอบอกว่าฝรั่ง แขก ไทย เยอะมากๆ จริงๆค่ะ>< ซึ่งเราเดินทางโดยสายการบินเจแปน แอร์ไลน์ เที่ยวบินที่ JL718 ค่ะ ซึ่งแอร์ฯ ของสายการบินนี้ ขอบอกว่าสวย และน่ารัก บริการก็เลิศ ถือว่าประทับใจจริงๆค่ะ สำหรับชั่วโมงบินทั้งหกชั่วโมง เบลก็หลับมันทั้งชั่วโมงบินนั้นและค่ะ ต้องขอชาร์ตแบทไว้หน่อย เพราะเมื่อเครื่องถึงญี่ปุ่นเมื่อไหร่ ก็มีกิจกรรมต่างๆรอให้เบลและลูกค้าต้องทำกันอีกเพียบเลยค่ะ
       
        ในที่สุดเวลาประมาณแปดโมงเช้า ของวันที่ 5 ต.ค เบลก็มาถึงสนามบินนาริตะ ซึ่งสภาพอากาศในวันนี้ก็มีฝนตกด้วยค่ะ เมื่อทุกคนผ่านพิธีตรวจคนเข้าเมือง และศุลกากรจนครบหมดทุกคนกันแล้ว ก็ขึ้นรถบัสที่จัดเตรียมไว้ให้ทั้งสองคันค่ะ ก่อนจะล้อหมุนก็ต้องมีการนับจำนวนกระทบยอดกันไปมาทั้งสองคน เพราะกลัวว่าจะทิ้งใครไว้นะสิค่ะ (เบลดูสภาพของแต่ละท่านแล้ว คงยังไม่พร้อมจะตื่นจริงๆค่ะ สงสัยคงยังปรับสภาพไม่ทัน) มื้อเช้ามื้อแรกของที่นี่ก็ำพาไปรับประทานกันที่โรงแรมฮิลตัน (Hilton) ซึ่งไม่ไกลจากสนามบินเลยค่ะ ใช้เวลาเพียงแค่สิบนาทีเท่านั้น^^ เป็นอาหารแบบบุฟเฟต์ตามใจปากเลยค่ะ จะไข่ ปัง ไส้กรอก เบคอน น้ำผลไม้สำหรับคนรักสังขาร เอ้ย!! รักสุขภาพ และอื่นๆอีกเยอะเลยค่ะ เลือกกินไม่ถูกเลย>< ก็เลยขอเอามาโชว์แบบหอมปากหอมคอพอคร่า...

Breakfast@Hilton Hotel
        เมื่อท้องอิ่มกันทุกคนแล้ว ในวันนี้ทุกท่านก็เริ่มภารกิจแรกก็คือ การไปเยี่ยมชมพิพิธภัณฑ์เอโดะ (EDO-TOKYO MUSEUM) ซึ่งพิพิธภัณฑ์นี้ก็มีจุดเด่นในการแสดงถึงการเมือง วัฒนธรรม วิถีชีวิตของคนในเมืองเมื่อ 400 ปีก่อน จนถึงปัจจุบัน ซึ่งก็จะมีการแบ่งเป็น 3 ส่วนใหญ่ๆ คือ EDO ZONE, TOKYO ZONE และ HISTORY ZONE เบลว่ามันเป็นอะไรที่น่าทึ่งมากๆจริงๆค่ะ กับวิวัฒนาการที่พัฒนาขึ้นมาเรื่อยๆ ซึ่งถ้าเทียบกับบ้านเราแล้วก็อาจจะคล้ายๆกับพิพิธภัณฑ์มิวเซียมสยาม (MUSEUM SIAM) ที่มีการแสดงวิวัฒนาการจากอดีตจนถึงปัจจุบันเช่นกันค่ะ ผู้เดินทางในคณะที่เบลดูแลก็แยกย้ายกันเดินดู บ้างก็ถ่ายรูป บ้างก็เดินอ่านประวัติของแต่ละชิ้นงาน เบลขอนำภาพภายในพิพิธภัณฑ์เอโดะมาฝากเพื่อนๆ บางส่วนนะค่ะ

บัตรเข้าชมพิพิธภัณฑ์เอโดะ
พิพิธภัณฑ์เอโดะ (EDO-TOKYO MUSEUM)
        ในช่วงบ่ายเราจะไปศึกษาดูงานกันที่ HITACHI TRANSPORT SYSTEM GROUP ซึ่งจะมีการบรรยายจากผู้บริหาร ซึ่งคณะผู้เดินทางต่างก็ให้ความสนใจกันดีนะค่ะ แต่คงเกิดจากที่เราเดินทางโดยเครื่องบินมาหลายชั่วโมง ทำให้เกือบทั้งหมดฟังไปหัวก็ส่ายกันไปมา ซ้าย ขวา หน้า หลัง สับปะหงกกันเป็นแถวๆ เห้อ!! ตัวเบลเองยังเป็นเหมือนกันเลย555 พอจบกันบรรยายปุ๊ป ทุกคนต่างก็ดีใจปั๊บ คงจะไม่ไหวกันจริงๆ ในวันนี้เราจะนอนพักกันที่ GRAND PACIFIC LE DAIBA กันค่ะ เป็นโรงแรมระดับ 5 ดาว ที่ตั้งอยู่บนเกาะโอไดบะ ซึ่งเป็นเกาะใหม่ที่ญี่ปุ่นได้ถมขึ้นจากการใช้ขยะผสมกับคอนกรีต และเป็นแหล่งเศรษฐกิจแห่งใหม่ เพื่อรองรับการขยายตัวของญี่ปุ่นที่ขยายตัวอย่างรวดเร็วค่ะ แต่น่าเสียดาย ที่เบลไม่ได้เอารูปภายในห้องมาให้เพื่อนๆดู พอดีเพลียจัดอ่ะค่ะ:( เบลขอจบเรื่องเล่าของการเดินทางสำหรับวันที่สองแค่นี้นะค่ะ ^^

Pacific Le Daiba Hotel
ฮัลโหลลลล^^
         สำหรับวันที่สามในญี่ปุ่นนะค่ะ ตื่นเช้ามาก็ต้องมีการ MORNING CALL โทรปลุกตามห้องของคณะผู้เดินทางทุกห้อง เพื่อแจ้งอุณหภูมิ "สำหรับวันนี้อุณหภูมิอยู่ที่ 24 องศาเซสเซียส อากาศกำลังสบายๆค่ะ" นี่คือคำพูดที่ต้องโทรแจ้งลูกค้าทั้งหมดค่ะ กว่าจะครบทุกห้องเสียงกลายเป็นเป็ดแล้วค่ะ ก๊าบๆ555 เอาละค่ะ รายการของเราวันนี้ ช่วงเช้าเราก้ออกเดินทางจากโรงแรมไปเยี่ยมชม PANASONIC CENTER ซึ่งมีนวัตกรรมของสินค้าที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในโลก ขอบอกค่ะ ว่าเทคโนโลยีของเค้าเจ๋งจริงๆ แต่อดถ่ายรูปมาฝากเพื่อนๆ เลยค่ะ เพราะเค้าไม่อนุญาต แต่ก็มีแค่โมเดลมาริโอ้ ที่ตั้งอยู่ในโซนของเกมส์ NINTENDO ค่ะ เบลนำมาฝากเพื่อนๆได้แค่นี้ค่ะ

Mario@Panasonic Center

        ในมื้อกลางวันของวันนี้ เราจะพาไปรับประทานอาหารบุฟเฟ่ต์กันที่นี่เลย MUGIBATAKE ซึ่งความพิเศษของที่นี่ก็คือ มีบริการเบียร์แบบบุฟเฟ่ต์หลากหลายเลยค่ะ อิ่มทั้งอาหาร และดื่มด่ำกับเบียร์ตั้งแต่กลางวันกันเลยทีเดียว จนเวลาล่วงเลยพอสมควรแล้ว เวลาประมาณบ่ายสาม เราจึงออกเดินทางไปชอปปิ้งกันต่อที่ GOTEMBA PREMIUM OUTLET ซึ่งมีพื้นที่ขนาดใหญ่ และไม่ไกลจากร้านที่เรากินนัก แต่ละท่านพอลงรถกันได้ ดูมีแรงฮึดขึ้นมากันเลยค่ะ เพราะแต่ละช็อปที่รวมกันอยู่ที่นี่ก็ต่างเป็นที่รู้จัก  ทั้ง GAP, ADIDAS, BURBERRY, BALENCIAGA, PLEATS PLEASE, GUCCI ฯลฯ นี้แค่บางส่วนอันน้อยนิดนะค่ะ ก็จะมีแผนที่แจกให้กับทุกท่าน เพื่อสะดวกในการหาร้านโปรดปรานของแต่ท่านเองด้วย ตัวเบลและพี่อุ้มก็เดินสำรวจไปเรื่อยๆ ตามร้านต่างๆ พี่อุ้มก็จะคอยแนะนำร้านต่างๆ ว่ามีอะไรบ้าง พาไปชิมเครป และขนมกินเล่น  รอเวลาจนถึง 6 โมงเย็นค่ะ เพื่อรอคณะเดินทางของเรามารวมตัวกันค่ะ แต่ละท่านก็เดินแบกเดินลากของชอปปิ้งนานาชนิด ตั้งแต่เสื้อผ้า กระเป๋า รองเท้า ฯลฯ สุดยอดจริงๆค่ะ ยกนิ้วให้เลย

        สำหรับมื้อค่ำของเราในวันนี้ เราพาไปรับประทานกันที่ร้านWAKO  เสิร์ฟทุกท่านด้วย TONKATSU เป็นข้าวหน้าหมูทอด ราดด้วยซอสหวานเข้มข้น มาพร้อมกับสลัด และซุปเข้มข้น ดูเป็นอาหารง่ายๆ แต่ขอบอกว่ารสชาติไม่ธรรมดาจริงๆค่ะ:) 
Tonkatsu@Wako

เมื่อทุกท่านอิ่มหนำสำราญกันไปแล้ว สำหรับใครที่ยังอยากช็อปต่อ พี่อุ้มของเราก็พาไปกันที่ LALA PORT ซึ่งเป็นซุปเปอร์มาร์เก็ตขนาดใหญ่ โดยพวกเราที่อยากจะไปส่วนใหญ่จะเป็นแม่บ้านตัวจริงกันทั้งนั้นเลยค่ะ โดยการเดินทางโดยรถไฟฟ้า เหมือนแห่ขบวนกันไปจริงๆค่ะ ด้วยจำนวนคนประมาณ 20 ท่านด้วยกัน
เหตุการณ์ชุลมุน ณ สถานีรถไฟฟ้า555
        เมื่อทุกคนไปถึงที่นั้น ต่างก็ลากรถเข็นตามพี่อุ้มไปค่ะ เนื่องจากว่าพี่อุ้มเองไปโฆษณาความอร่อยของน้ำสลัดญี่ปุ่น ต่างหยิบต่างซื้อติดไม้ติดมือกันไปคนละหลายๆขวด อร่อยจริงตามที่บอกหรือเปล่า เบลไม่แน่ใจจริงๆค่ะ เพราะซื้อไม่ทันท่านอื่นๆเลย:// จากนั้นทุกท่านก็เดินทางกลับมายังโรงแรม สองไม้สองมือเต็มไปด้วยเครื่องปรุงนานาชนิดมากมายอีกแล้วค่ะ

        มาถึงในวันที่สี่ อุณหภูมิ 24 องศาเช่นเคยค่ะ ภารกิจของเบลในวันนี้ก็คือ การไปช่วยพี่ปุ้ย ซึ่งพากรุ๊ป FAMILY ของบริษัทมาพักที่โรงแรมนี้เหมือนกันค่ะ เบลจึงได้ติดตามไปช่วยพี่ปุ้ยดูแลกรุ๊ปนี้ด้วย ซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นน้องๆหนูๆมากับคุณพ่อคุณแม่ค่ะ กรุ๊ปนี้จะมีทั้งหมด 15 ท่านค่ะ กิจกรรมในตอนเช้า  คือ ไปวัดอะซะคึสะ ซึ่งเป็นวัดเก่าแก่และมีชื่อเสียงที่สุดแห่งหนึ่งในโตเกียวค่ะ พี่ปุ้ยก็ได้พาเบลไปสักการะยังเทพเจ้าต่างๆ หลังจากนั้นก็พาไปยังถนนช้อปปิ้งของย่านนี้ คือ นากามิเสะโดริ ซึ่งมีของที่ระลึกสไตล์ญี่ปุ่น ร้านขนมแนวญี่ปุ่นมากมาย ให้เลือกซื้อกันค่ะ พี่ปุ้ยเองก็พาเบลไปลองชิมขนมซาลาเปาทอด ซึ่งขึ้นชื่อของที่นี่มาก จากที่เบลจำได้ต้องร้านนี้เลยค่ะ นับจากที่เราออกมาจากประตูวัด โคมไฟสีแดงลูกใหญ่เป็นร้านที่สาม อยู่ทางซ้ายมือ ใครไม่เชื่อต้องลองไปพิสูจน์รสชาติกันเองเองนะจ๊ะ

Asakusa Temple

ร้านซาลาเปาทอด @ถนนนากามิเสะโดริ
        จากนั้นเราก็รอลูกค้า ซึ่งเรานัดเจอกันที่โคมไฟสีแดงลูกใหญ่ ซึ่งเป็นสัญลักษณ์ประจำวัดนี้ค่ะ เพื่อจะพาทุกท่านไปรับประทานอาหารกลางวันกันที่ AOI ซึ่งเป็นร้านดังในย่านอะซะคึสะ ซึ่งร้านนี้เค้าจะขายแค่เทมปุระแค่นั้นนะ ขอบอกว่าใครอยากรับประทานต้องรอคิวกันหน่อย เพราะคนเยอะมากจริงๆค่ะ  แต่ต่างจากกรุ๊ปครอบครัวของเรานะค่ะ เพราะเราได้ทำการจองเรียบร้อยแล้ว ไม่ต้องรอต่อคิวให้เสียเวลา

Tempura@AOI

        ในช่วงบ่ายวันนี้เราจะพาเด็กๆไปสนุกกันที่ TOKYO DISNEYLAND เด็กๆต่างตื่นเต้นกันใหญ่     กับความสวยงามและความอลังการค่ะ ซึ่งก็ไม่ต่างกับเบลที่ตื่นเต้นไปด้วย ช่วงที่ไปที่นี่ตอนนี้กำลังจัดงานเป็นช่วงเทศกาลฮาโลวีนพอดี ซึ่งอย่างแรกที่เราจะพาลูกค้าไปเล่นก็คือ Pirate of the Caribbean ซึ่งเราก็ได้ปล่อยให้ลูกค้าได้สนุกสนานกันไป ส่วนเบลและพี่ปุ้ยก็วิ่งไปทำบัตร Fast pass ให้กับลูกค้า  ซึ่งก็คือบัตรเข้าเครื่องเล่นที่เป็นทางด่วนพิเศษ ไม่ต้องต่อคิว ในบัตร Fast Pass จะแจ้งรอบเวลาของเรา เพราะเมื่อถึงเวลาที่แจ้งไว้ในบัตร เราก็สามารถมาเล่นได้เลยค่ะ เห็นมั้ยค่ะว่าสบายแค่ไหน เราทั้งคู่ก็ทำ Fast Pass ของเครื่องเล่น Space Mountain ได้รอบเวลา 17.00 น. ซึ่งในระหว่างนั้นก็ปล่อยให้ลูกค้าได้เล่นตามใจชอบเลยค่ะ อิสระได้อย่างเต็มที่ เบลกับพี่ปุ้ยก็เช่นกันไปเล่นเครื่องเล่นที่ขึ้นชื่อของที่นี่ด้วย อย่าง Big Thunder Mountain ใช้เวลาในการต่อคิวประมาณชั่วโมงครึ่ง แต่เราไม่ย่อท้อค่ะ ยืนกันจนขาแข็งก็ยอม หลังจากนั้นเราก็ถ่ายรูปกันไปเรื่อยๆ ทั้งเพลิดเพลินและสนุกสนานค่ะ
บัตรเข้า Tokyo Disneyland


  
        จนเวลาประมาณหกโมงเบลและพี่ปุ้ยก็ช่วยกันไปจองพื้นที่เพื่อรอดูการแสดงโชว์                  Tokyo Disneyland Electrical ซึ่งเป็นขบวนพาเหรดที่เต็มไปด้วยแสง สี เสียง อลังการงานสร้่าง ทำการจองพื้นที่โดยการเอาเสื่อที่เตรียมมาเพื่อให้ลูกค้าได้นั่งชมการแสดงค่ะ ไม่ต้องไปเบียดเสียดผู้คนอีกด้วย ซึ่งขบวนพาเหรดจะเริ่มการแสดงเวลาประมาณหนึ่งทุ่มครึ่ง ได้นัดเวลากับกรุ๊ปของเราในเวลาหนึ่งทุ่มตรง เพื่อพามายังบริเวณที่ได้จองพื้นที่ไว้ให้ค่ะ เด็กๆในกรุ๊ปของเราก็ต่างตื่นเต้น และเพลิดเพลินอีกแล้วค่ะ ลองดูรูปที่เบลเอามาฝากบางส่วนล่ะกันนะค่ะ ว่าจะสวยแค่ไหน:)

        เช้าวันสุดท้ายในญี่ปุ่นกันแล้วคร่า เบลก็กลับมาดูแลกรุ๊ป EDP ตามเดิม ในวันนี้จะเป็นวันสบายๆ ตามใจกรุ๊ปของเบลกันเลยแล้วแต่เลือกเลยว่าอยากไปไหน จะมีให้เลือก 2 option คือ ย่านโอโมเทะซันโด-ย่านชิบูย่า หรือจะเป็น ย่านอูเอโน่-ย่านกินซ่า ส่วนเบลก็ขอไปดูแลกรุ๊ปแรกล่ะกันนะค่ะ คือ ย่านโอโมเทะซันโด - ย่านชิบูย่า แต่ในช่วงเช้าเราจะพาลูกทัวร์ไปเดินขำๆยัง ตลาดปลา Tsukiji ซึ่งบรรยากาศก็คล้ายๆกับบ้านเรา เป็นตลาดปลาที่ส่วนใหญ่จะมีพ่อค้าแม่ค้ามาจับจ่ายหาซื้ออาหารทะเลกันมากมาย  เอาเป็นว่า เบลขอบรรยายด้วยรูปถ่ายล่ะกันนะค่ะ


Tsukiji

        พอถึงเวลาอันสมควรแล้ว เราก็จะพาไปชอปปิ้งกันจริงๆจังๆสักที กับย่านโอโมเทะซันโด ซึ่งเต็มไปด้วยแบรนด์ดังๆมากมาย ร้านแรกที่ใครๆก็ต่างเรียกร้องต้องที่นี่เลยค่ะ Issey Miyake ขอบอกค่ะ เบลคิดว่าเค้าแจกฟรี เพราะเข้ากันไปนึกว่าไปเหมามาแจกซะอีก (แบบถ่ายมาด้วยล่ะ อิอิ)
Issey Miyake Shop

ซึ่งในช่วงบ่ายเรามีบริการพิเศษหนึ่งเมนูค่ะ ก็คือราเมนในย่านชิบูย่า ซึ่งก็แล้วแต่เลยค่ะ ว่าใครอยากจะมารับประทานหรืออยากจะชอปปิ้งต่อ เราก็ไม่ว่ากัน:) ซึ่งในย่านชิบูย่านี้เอง ก็มีห้างดังๆ อย่าง Tokyu Hands, Parco และอีกมากมายค่ะ ลืมบอกไปว่า ไม่ต้องกลัวหลงนะค่ะ เพราะมีแผนที่ให้สำหรับทุกคนค่ะ ว่าจะเดินไปทางไหน มีร้านอะไรบ้าง ไม่ต้องไปเดินหาให้เสียเวลาอีกด้วย เอาล่ะค่ะพอถึงเวลานัดหมายควรแก่เวลาแล้ว มื้อเย็นของวันนี้ เราจะพาไปจัดหนักกันที่ ร้าน Kanidoraku ที่ย่านชินจูกุกันค่ะ บริการด้วยหม้อไฟสุกี้ "ปูซูไว" ซึ่งเป็นที่ขึ้นชื่อของโอซาก้ากันเลยล่ะ ซึ่งเป็นเนื้อปูสด ไม่มีการนำมาแช่แข็งนะจ๊ะ
Kanidoraku

     
        หลังจากอิ่มหนำสำราญกันแล้ว ก็ถึงเวลาต้องเดินทางไปยังสนามบินฮาเนดะ เพื่อเดินทางกลับยังประเทศไทยกันแล้วค่ะ  มาถึงสนามบินทุกคนก็เตรียมแพคจัดแจงข้าวของค่ะ ส่วนเบลเองทั้งยัด ทั้งกด นั่งทับกระเป๋า กว่าจะได้ เล่นเอาเหนื่อยเหมือนกันค่ะ เราเดินกลับโดยสายการบินเจแปนแอร์ไลน์ เช่นเดิม เที่ยวบินที่ JL033 เวลา 00.40 น. พอทุกคนต่างขึ้นเครื่องเท่านั้นละค่ะ ต่างหลับเพราะความเหนื่อยกันทั้งนั้น เบลก้อเช่นเดิมค่ะ ขอนอนให้เต็มที่เลย คร็อกกกกก:// เครื่องลงยังสุวรรณภูมิแล้วคร่า เวลาโดยประมาณของประเทศไทย ในเวลา 05.50 น. เราก็ต่างพากันไปรอรับกระเป๋าพร้อมๆกับคณะทัวร์ของเราค่ะ จนหมดทุกคนแล้ว จึงเดินทางกลับบ้านใครบ้านมันแล้วล่ะค่ะ 
        
        จากประสบการณ์ครั้งแรกกับการเดินทางในต่างแดน ขอบอกว่าได้อะไรกลับมามากมายจริงๆ มีทั้งเหนื่อย ง่วง สนุก และมิตรภาพ ที่ได้รับจากงานที่เบลรัก ได้รับมิตรภาพจากในคณะทัวร์เอง และจากคนญี่ปุ่น ถ้ามีการเดินทางครั้งหน้าต่อไปยังไง เบลจะนำมาเล่าสู่ให้ฟังกันอีกเรื่อยๆนะคร่า I love Japan:)