วันอังคารที่ 27 ธันวาคม พ.ศ. 2554

First time in Japan

        ในที่สุดก็มีบุญได้ไปเมืองนอกกับเค้าซะที โฮะๆๆๆูู^^ เมื่อบริษัทที่เบลทำอยู่ ให้โอกาสไปญี่ปุ่น เบลก็ควรรีบคว้าไว้ก่อน จริงมั้ยค่ะ กำหนดการเดินทางก็คือวันที่ 4-9 ตุลาคม ที่ผ่านมานี่เองค่ะ ในหน้าที่ผู้ช่วยหัวหน้าทัวร์คนเก่งชื่อว่า พี่อุ้มสุดน่ารักของเบลเอง:) ไปคณะการดูงานของสมาคมบริษัทจดทะเบียนไทย (EDP) เป็นการไปเพื่อการเรียนรู้งาน ก็คงเป็นการไปฝึกตัวเบลนี่แหละค่ะ เพราะไม่เคยรู้ในการปฏิบัติจริงเลยค่ะ ว่าต้องทำยังไงบ้าง ควรพูดยังไง ไรงี้:(

        เบลจะขอเล่าประสบการณ์ตั้งแต่ที่สนามบินสุวรรณภูมิ กลางคืนวันแรกของการเดินทางที่           4 ตุลาคมกันเลยนะค่ะ เบลก็ต้องมาสแตนบายรอลูกค้าซึ่งเดินทางไปทั้งสิ้น 65 ท่านด้วยกันค่ะ ลูกค้าก้อทยอยกันมาเรื่อยๆ ซึ่งเรามีจุดนัดพบกันที่เคาน์เตอร์ R เวลาประมาณสามทุ่ม ซึ่งขอบอกว่าฝรั่ง แขก ไทย เยอะมากๆ จริงๆค่ะ>< ซึ่งเราเดินทางโดยสายการบินเจแปน แอร์ไลน์ เที่ยวบินที่ JL718 ค่ะ ซึ่งแอร์ฯ ของสายการบินนี้ ขอบอกว่าสวย และน่ารัก บริการก็เลิศ ถือว่าประทับใจจริงๆค่ะ สำหรับชั่วโมงบินทั้งหกชั่วโมง เบลก็หลับมันทั้งชั่วโมงบินนั้นและค่ะ ต้องขอชาร์ตแบทไว้หน่อย เพราะเมื่อเครื่องถึงญี่ปุ่นเมื่อไหร่ ก็มีกิจกรรมต่างๆรอให้เบลและลูกค้าต้องทำกันอีกเพียบเลยค่ะ
       
        ในที่สุดเวลาประมาณแปดโมงเช้า ของวันที่ 5 ต.ค เบลก็มาถึงสนามบินนาริตะ ซึ่งสภาพอากาศในวันนี้ก็มีฝนตกด้วยค่ะ เมื่อทุกคนผ่านพิธีตรวจคนเข้าเมือง และศุลกากรจนครบหมดทุกคนกันแล้ว ก็ขึ้นรถบัสที่จัดเตรียมไว้ให้ทั้งสองคันค่ะ ก่อนจะล้อหมุนก็ต้องมีการนับจำนวนกระทบยอดกันไปมาทั้งสองคน เพราะกลัวว่าจะทิ้งใครไว้นะสิค่ะ (เบลดูสภาพของแต่ละท่านแล้ว คงยังไม่พร้อมจะตื่นจริงๆค่ะ สงสัยคงยังปรับสภาพไม่ทัน) มื้อเช้ามื้อแรกของที่นี่ก็ำพาไปรับประทานกันที่โรงแรมฮิลตัน (Hilton) ซึ่งไม่ไกลจากสนามบินเลยค่ะ ใช้เวลาเพียงแค่สิบนาทีเท่านั้น^^ เป็นอาหารแบบบุฟเฟต์ตามใจปากเลยค่ะ จะไข่ ปัง ไส้กรอก เบคอน น้ำผลไม้สำหรับคนรักสังขาร เอ้ย!! รักสุขภาพ และอื่นๆอีกเยอะเลยค่ะ เลือกกินไม่ถูกเลย>< ก็เลยขอเอามาโชว์แบบหอมปากหอมคอพอคร่า...

Breakfast@Hilton Hotel
        เมื่อท้องอิ่มกันทุกคนแล้ว ในวันนี้ทุกท่านก็เริ่มภารกิจแรกก็คือ การไปเยี่ยมชมพิพิธภัณฑ์เอโดะ (EDO-TOKYO MUSEUM) ซึ่งพิพิธภัณฑ์นี้ก็มีจุดเด่นในการแสดงถึงการเมือง วัฒนธรรม วิถีชีวิตของคนในเมืองเมื่อ 400 ปีก่อน จนถึงปัจจุบัน ซึ่งก็จะมีการแบ่งเป็น 3 ส่วนใหญ่ๆ คือ EDO ZONE, TOKYO ZONE และ HISTORY ZONE เบลว่ามันเป็นอะไรที่น่าทึ่งมากๆจริงๆค่ะ กับวิวัฒนาการที่พัฒนาขึ้นมาเรื่อยๆ ซึ่งถ้าเทียบกับบ้านเราแล้วก็อาจจะคล้ายๆกับพิพิธภัณฑ์มิวเซียมสยาม (MUSEUM SIAM) ที่มีการแสดงวิวัฒนาการจากอดีตจนถึงปัจจุบันเช่นกันค่ะ ผู้เดินทางในคณะที่เบลดูแลก็แยกย้ายกันเดินดู บ้างก็ถ่ายรูป บ้างก็เดินอ่านประวัติของแต่ละชิ้นงาน เบลขอนำภาพภายในพิพิธภัณฑ์เอโดะมาฝากเพื่อนๆ บางส่วนนะค่ะ

บัตรเข้าชมพิพิธภัณฑ์เอโดะ
พิพิธภัณฑ์เอโดะ (EDO-TOKYO MUSEUM)
        ในช่วงบ่ายเราจะไปศึกษาดูงานกันที่ HITACHI TRANSPORT SYSTEM GROUP ซึ่งจะมีการบรรยายจากผู้บริหาร ซึ่งคณะผู้เดินทางต่างก็ให้ความสนใจกันดีนะค่ะ แต่คงเกิดจากที่เราเดินทางโดยเครื่องบินมาหลายชั่วโมง ทำให้เกือบทั้งหมดฟังไปหัวก็ส่ายกันไปมา ซ้าย ขวา หน้า หลัง สับปะหงกกันเป็นแถวๆ เห้อ!! ตัวเบลเองยังเป็นเหมือนกันเลย555 พอจบกันบรรยายปุ๊ป ทุกคนต่างก็ดีใจปั๊บ คงจะไม่ไหวกันจริงๆ ในวันนี้เราจะนอนพักกันที่ GRAND PACIFIC LE DAIBA กันค่ะ เป็นโรงแรมระดับ 5 ดาว ที่ตั้งอยู่บนเกาะโอไดบะ ซึ่งเป็นเกาะใหม่ที่ญี่ปุ่นได้ถมขึ้นจากการใช้ขยะผสมกับคอนกรีต และเป็นแหล่งเศรษฐกิจแห่งใหม่ เพื่อรองรับการขยายตัวของญี่ปุ่นที่ขยายตัวอย่างรวดเร็วค่ะ แต่น่าเสียดาย ที่เบลไม่ได้เอารูปภายในห้องมาให้เพื่อนๆดู พอดีเพลียจัดอ่ะค่ะ:( เบลขอจบเรื่องเล่าของการเดินทางสำหรับวันที่สองแค่นี้นะค่ะ ^^

Pacific Le Daiba Hotel
ฮัลโหลลลล^^
         สำหรับวันที่สามในญี่ปุ่นนะค่ะ ตื่นเช้ามาก็ต้องมีการ MORNING CALL โทรปลุกตามห้องของคณะผู้เดินทางทุกห้อง เพื่อแจ้งอุณหภูมิ "สำหรับวันนี้อุณหภูมิอยู่ที่ 24 องศาเซสเซียส อากาศกำลังสบายๆค่ะ" นี่คือคำพูดที่ต้องโทรแจ้งลูกค้าทั้งหมดค่ะ กว่าจะครบทุกห้องเสียงกลายเป็นเป็ดแล้วค่ะ ก๊าบๆ555 เอาละค่ะ รายการของเราวันนี้ ช่วงเช้าเราก้ออกเดินทางจากโรงแรมไปเยี่ยมชม PANASONIC CENTER ซึ่งมีนวัตกรรมของสินค้าที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในโลก ขอบอกค่ะ ว่าเทคโนโลยีของเค้าเจ๋งจริงๆ แต่อดถ่ายรูปมาฝากเพื่อนๆ เลยค่ะ เพราะเค้าไม่อนุญาต แต่ก็มีแค่โมเดลมาริโอ้ ที่ตั้งอยู่ในโซนของเกมส์ NINTENDO ค่ะ เบลนำมาฝากเพื่อนๆได้แค่นี้ค่ะ

Mario@Panasonic Center

        ในมื้อกลางวันของวันนี้ เราจะพาไปรับประทานอาหารบุฟเฟ่ต์กันที่นี่เลย MUGIBATAKE ซึ่งความพิเศษของที่นี่ก็คือ มีบริการเบียร์แบบบุฟเฟ่ต์หลากหลายเลยค่ะ อิ่มทั้งอาหาร และดื่มด่ำกับเบียร์ตั้งแต่กลางวันกันเลยทีเดียว จนเวลาล่วงเลยพอสมควรแล้ว เวลาประมาณบ่ายสาม เราจึงออกเดินทางไปชอปปิ้งกันต่อที่ GOTEMBA PREMIUM OUTLET ซึ่งมีพื้นที่ขนาดใหญ่ และไม่ไกลจากร้านที่เรากินนัก แต่ละท่านพอลงรถกันได้ ดูมีแรงฮึดขึ้นมากันเลยค่ะ เพราะแต่ละช็อปที่รวมกันอยู่ที่นี่ก็ต่างเป็นที่รู้จัก  ทั้ง GAP, ADIDAS, BURBERRY, BALENCIAGA, PLEATS PLEASE, GUCCI ฯลฯ นี้แค่บางส่วนอันน้อยนิดนะค่ะ ก็จะมีแผนที่แจกให้กับทุกท่าน เพื่อสะดวกในการหาร้านโปรดปรานของแต่ท่านเองด้วย ตัวเบลและพี่อุ้มก็เดินสำรวจไปเรื่อยๆ ตามร้านต่างๆ พี่อุ้มก็จะคอยแนะนำร้านต่างๆ ว่ามีอะไรบ้าง พาไปชิมเครป และขนมกินเล่น  รอเวลาจนถึง 6 โมงเย็นค่ะ เพื่อรอคณะเดินทางของเรามารวมตัวกันค่ะ แต่ละท่านก็เดินแบกเดินลากของชอปปิ้งนานาชนิด ตั้งแต่เสื้อผ้า กระเป๋า รองเท้า ฯลฯ สุดยอดจริงๆค่ะ ยกนิ้วให้เลย

        สำหรับมื้อค่ำของเราในวันนี้ เราพาไปรับประทานกันที่ร้านWAKO  เสิร์ฟทุกท่านด้วย TONKATSU เป็นข้าวหน้าหมูทอด ราดด้วยซอสหวานเข้มข้น มาพร้อมกับสลัด และซุปเข้มข้น ดูเป็นอาหารง่ายๆ แต่ขอบอกว่ารสชาติไม่ธรรมดาจริงๆค่ะ:) 
Tonkatsu@Wako

เมื่อทุกท่านอิ่มหนำสำราญกันไปแล้ว สำหรับใครที่ยังอยากช็อปต่อ พี่อุ้มของเราก็พาไปกันที่ LALA PORT ซึ่งเป็นซุปเปอร์มาร์เก็ตขนาดใหญ่ โดยพวกเราที่อยากจะไปส่วนใหญ่จะเป็นแม่บ้านตัวจริงกันทั้งนั้นเลยค่ะ โดยการเดินทางโดยรถไฟฟ้า เหมือนแห่ขบวนกันไปจริงๆค่ะ ด้วยจำนวนคนประมาณ 20 ท่านด้วยกัน
เหตุการณ์ชุลมุน ณ สถานีรถไฟฟ้า555
        เมื่อทุกคนไปถึงที่นั้น ต่างก็ลากรถเข็นตามพี่อุ้มไปค่ะ เนื่องจากว่าพี่อุ้มเองไปโฆษณาความอร่อยของน้ำสลัดญี่ปุ่น ต่างหยิบต่างซื้อติดไม้ติดมือกันไปคนละหลายๆขวด อร่อยจริงตามที่บอกหรือเปล่า เบลไม่แน่ใจจริงๆค่ะ เพราะซื้อไม่ทันท่านอื่นๆเลย:// จากนั้นทุกท่านก็เดินทางกลับมายังโรงแรม สองไม้สองมือเต็มไปด้วยเครื่องปรุงนานาชนิดมากมายอีกแล้วค่ะ

        มาถึงในวันที่สี่ อุณหภูมิ 24 องศาเช่นเคยค่ะ ภารกิจของเบลในวันนี้ก็คือ การไปช่วยพี่ปุ้ย ซึ่งพากรุ๊ป FAMILY ของบริษัทมาพักที่โรงแรมนี้เหมือนกันค่ะ เบลจึงได้ติดตามไปช่วยพี่ปุ้ยดูแลกรุ๊ปนี้ด้วย ซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นน้องๆหนูๆมากับคุณพ่อคุณแม่ค่ะ กรุ๊ปนี้จะมีทั้งหมด 15 ท่านค่ะ กิจกรรมในตอนเช้า  คือ ไปวัดอะซะคึสะ ซึ่งเป็นวัดเก่าแก่และมีชื่อเสียงที่สุดแห่งหนึ่งในโตเกียวค่ะ พี่ปุ้ยก็ได้พาเบลไปสักการะยังเทพเจ้าต่างๆ หลังจากนั้นก็พาไปยังถนนช้อปปิ้งของย่านนี้ คือ นากามิเสะโดริ ซึ่งมีของที่ระลึกสไตล์ญี่ปุ่น ร้านขนมแนวญี่ปุ่นมากมาย ให้เลือกซื้อกันค่ะ พี่ปุ้ยเองก็พาเบลไปลองชิมขนมซาลาเปาทอด ซึ่งขึ้นชื่อของที่นี่มาก จากที่เบลจำได้ต้องร้านนี้เลยค่ะ นับจากที่เราออกมาจากประตูวัด โคมไฟสีแดงลูกใหญ่เป็นร้านที่สาม อยู่ทางซ้ายมือ ใครไม่เชื่อต้องลองไปพิสูจน์รสชาติกันเองเองนะจ๊ะ

Asakusa Temple

ร้านซาลาเปาทอด @ถนนนากามิเสะโดริ
        จากนั้นเราก็รอลูกค้า ซึ่งเรานัดเจอกันที่โคมไฟสีแดงลูกใหญ่ ซึ่งเป็นสัญลักษณ์ประจำวัดนี้ค่ะ เพื่อจะพาทุกท่านไปรับประทานอาหารกลางวันกันที่ AOI ซึ่งเป็นร้านดังในย่านอะซะคึสะ ซึ่งร้านนี้เค้าจะขายแค่เทมปุระแค่นั้นนะ ขอบอกว่าใครอยากรับประทานต้องรอคิวกันหน่อย เพราะคนเยอะมากจริงๆค่ะ  แต่ต่างจากกรุ๊ปครอบครัวของเรานะค่ะ เพราะเราได้ทำการจองเรียบร้อยแล้ว ไม่ต้องรอต่อคิวให้เสียเวลา

Tempura@AOI

        ในช่วงบ่ายวันนี้เราจะพาเด็กๆไปสนุกกันที่ TOKYO DISNEYLAND เด็กๆต่างตื่นเต้นกันใหญ่     กับความสวยงามและความอลังการค่ะ ซึ่งก็ไม่ต่างกับเบลที่ตื่นเต้นไปด้วย ช่วงที่ไปที่นี่ตอนนี้กำลังจัดงานเป็นช่วงเทศกาลฮาโลวีนพอดี ซึ่งอย่างแรกที่เราจะพาลูกค้าไปเล่นก็คือ Pirate of the Caribbean ซึ่งเราก็ได้ปล่อยให้ลูกค้าได้สนุกสนานกันไป ส่วนเบลและพี่ปุ้ยก็วิ่งไปทำบัตร Fast pass ให้กับลูกค้า  ซึ่งก็คือบัตรเข้าเครื่องเล่นที่เป็นทางด่วนพิเศษ ไม่ต้องต่อคิว ในบัตร Fast Pass จะแจ้งรอบเวลาของเรา เพราะเมื่อถึงเวลาที่แจ้งไว้ในบัตร เราก็สามารถมาเล่นได้เลยค่ะ เห็นมั้ยค่ะว่าสบายแค่ไหน เราทั้งคู่ก็ทำ Fast Pass ของเครื่องเล่น Space Mountain ได้รอบเวลา 17.00 น. ซึ่งในระหว่างนั้นก็ปล่อยให้ลูกค้าได้เล่นตามใจชอบเลยค่ะ อิสระได้อย่างเต็มที่ เบลกับพี่ปุ้ยก็เช่นกันไปเล่นเครื่องเล่นที่ขึ้นชื่อของที่นี่ด้วย อย่าง Big Thunder Mountain ใช้เวลาในการต่อคิวประมาณชั่วโมงครึ่ง แต่เราไม่ย่อท้อค่ะ ยืนกันจนขาแข็งก็ยอม หลังจากนั้นเราก็ถ่ายรูปกันไปเรื่อยๆ ทั้งเพลิดเพลินและสนุกสนานค่ะ
บัตรเข้า Tokyo Disneyland


  
        จนเวลาประมาณหกโมงเบลและพี่ปุ้ยก็ช่วยกันไปจองพื้นที่เพื่อรอดูการแสดงโชว์                  Tokyo Disneyland Electrical ซึ่งเป็นขบวนพาเหรดที่เต็มไปด้วยแสง สี เสียง อลังการงานสร้่าง ทำการจองพื้นที่โดยการเอาเสื่อที่เตรียมมาเพื่อให้ลูกค้าได้นั่งชมการแสดงค่ะ ไม่ต้องไปเบียดเสียดผู้คนอีกด้วย ซึ่งขบวนพาเหรดจะเริ่มการแสดงเวลาประมาณหนึ่งทุ่มครึ่ง ได้นัดเวลากับกรุ๊ปของเราในเวลาหนึ่งทุ่มตรง เพื่อพามายังบริเวณที่ได้จองพื้นที่ไว้ให้ค่ะ เด็กๆในกรุ๊ปของเราก็ต่างตื่นเต้น และเพลิดเพลินอีกแล้วค่ะ ลองดูรูปที่เบลเอามาฝากบางส่วนล่ะกันนะค่ะ ว่าจะสวยแค่ไหน:)

        เช้าวันสุดท้ายในญี่ปุ่นกันแล้วคร่า เบลก็กลับมาดูแลกรุ๊ป EDP ตามเดิม ในวันนี้จะเป็นวันสบายๆ ตามใจกรุ๊ปของเบลกันเลยแล้วแต่เลือกเลยว่าอยากไปไหน จะมีให้เลือก 2 option คือ ย่านโอโมเทะซันโด-ย่านชิบูย่า หรือจะเป็น ย่านอูเอโน่-ย่านกินซ่า ส่วนเบลก็ขอไปดูแลกรุ๊ปแรกล่ะกันนะค่ะ คือ ย่านโอโมเทะซันโด - ย่านชิบูย่า แต่ในช่วงเช้าเราจะพาลูกทัวร์ไปเดินขำๆยัง ตลาดปลา Tsukiji ซึ่งบรรยากาศก็คล้ายๆกับบ้านเรา เป็นตลาดปลาที่ส่วนใหญ่จะมีพ่อค้าแม่ค้ามาจับจ่ายหาซื้ออาหารทะเลกันมากมาย  เอาเป็นว่า เบลขอบรรยายด้วยรูปถ่ายล่ะกันนะค่ะ


Tsukiji

        พอถึงเวลาอันสมควรแล้ว เราก็จะพาไปชอปปิ้งกันจริงๆจังๆสักที กับย่านโอโมเทะซันโด ซึ่งเต็มไปด้วยแบรนด์ดังๆมากมาย ร้านแรกที่ใครๆก็ต่างเรียกร้องต้องที่นี่เลยค่ะ Issey Miyake ขอบอกค่ะ เบลคิดว่าเค้าแจกฟรี เพราะเข้ากันไปนึกว่าไปเหมามาแจกซะอีก (แบบถ่ายมาด้วยล่ะ อิอิ)
Issey Miyake Shop

ซึ่งในช่วงบ่ายเรามีบริการพิเศษหนึ่งเมนูค่ะ ก็คือราเมนในย่านชิบูย่า ซึ่งก็แล้วแต่เลยค่ะ ว่าใครอยากจะมารับประทานหรืออยากจะชอปปิ้งต่อ เราก็ไม่ว่ากัน:) ซึ่งในย่านชิบูย่านี้เอง ก็มีห้างดังๆ อย่าง Tokyu Hands, Parco และอีกมากมายค่ะ ลืมบอกไปว่า ไม่ต้องกลัวหลงนะค่ะ เพราะมีแผนที่ให้สำหรับทุกคนค่ะ ว่าจะเดินไปทางไหน มีร้านอะไรบ้าง ไม่ต้องไปเดินหาให้เสียเวลาอีกด้วย เอาล่ะค่ะพอถึงเวลานัดหมายควรแก่เวลาแล้ว มื้อเย็นของวันนี้ เราจะพาไปจัดหนักกันที่ ร้าน Kanidoraku ที่ย่านชินจูกุกันค่ะ บริการด้วยหม้อไฟสุกี้ "ปูซูไว" ซึ่งเป็นที่ขึ้นชื่อของโอซาก้ากันเลยล่ะ ซึ่งเป็นเนื้อปูสด ไม่มีการนำมาแช่แข็งนะจ๊ะ
Kanidoraku

     
        หลังจากอิ่มหนำสำราญกันแล้ว ก็ถึงเวลาต้องเดินทางไปยังสนามบินฮาเนดะ เพื่อเดินทางกลับยังประเทศไทยกันแล้วค่ะ  มาถึงสนามบินทุกคนก็เตรียมแพคจัดแจงข้าวของค่ะ ส่วนเบลเองทั้งยัด ทั้งกด นั่งทับกระเป๋า กว่าจะได้ เล่นเอาเหนื่อยเหมือนกันค่ะ เราเดินกลับโดยสายการบินเจแปนแอร์ไลน์ เช่นเดิม เที่ยวบินที่ JL033 เวลา 00.40 น. พอทุกคนต่างขึ้นเครื่องเท่านั้นละค่ะ ต่างหลับเพราะความเหนื่อยกันทั้งนั้น เบลก้อเช่นเดิมค่ะ ขอนอนให้เต็มที่เลย คร็อกกกกก:// เครื่องลงยังสุวรรณภูมิแล้วคร่า เวลาโดยประมาณของประเทศไทย ในเวลา 05.50 น. เราก็ต่างพากันไปรอรับกระเป๋าพร้อมๆกับคณะทัวร์ของเราค่ะ จนหมดทุกคนแล้ว จึงเดินทางกลับบ้านใครบ้านมันแล้วล่ะค่ะ 
        
        จากประสบการณ์ครั้งแรกกับการเดินทางในต่างแดน ขอบอกว่าได้อะไรกลับมามากมายจริงๆ มีทั้งเหนื่อย ง่วง สนุก และมิตรภาพ ที่ได้รับจากงานที่เบลรัก ได้รับมิตรภาพจากในคณะทัวร์เอง และจากคนญี่ปุ่น ถ้ามีการเดินทางครั้งหน้าต่อไปยังไง เบลจะนำมาเล่าสู่ให้ฟังกันอีกเรื่อยๆนะคร่า I love Japan:)




วันอังคารที่ 11 ตุลาคม พ.ศ. 2554

วีซ่าญี่ปุ่น...ทำง่ายๆ ใครว่ายาก:)

           เบลเองก็เป็นคนหนึ่ง ที่เพิ่งจะได้ไปญี่ปุ่นมาเองค่ะ ก็เลยต้องทำวีซ่า ตอนแรกก็กังวลอยู่เหมือนกัน ว่าวีซ่าจะผ่านหรือป่าว ก็เลยอยากนำข้อมูลรายละเอียดต่างๆมาฝากเพื่อนๆ เผื่อใครจะต้องเดินทางไปเที่ยวที่ญี่ปุ่นค่ะ

สถานที่การทำวีซ่าญี่ปุ่น  (ส่วนใหญ่ก็ไปอ่านที่ข้อ 2 ได้เลยค่ะ)

      1.  การยื่นคำร้องขอวีซ่าสำหรับผู้ถือหนังสือเดินทางทูต หนังสือเดินทางราชการ และกรณีเร่งด่วนที่เกี่ยวกับทางด้านมนุษย์ธรรม รวมถึงการปรึกษา และการยื่นเอกสารเพิ่มเติม ที่สามารถติดต่อได้ที่แผนกกงสุล สถานทูตญี่ปุ่นเท่านั้น


      2.  การยื่นคำร้องขอวีซ่าทุกประเภทยกเว้นการยื่นคำร้องขอวีซ่าที่ระบุไว้ในข้อ 1 นั้น ผู้ยื่นคำร้องขอวีซ่าจะต้องติดต่อที่ศูนย์รับยื่นขอวีซ่าประเทศญี่ปุ่น (JVAC) ณ อาคารสีลมคอมเพล็กซ์ ชั้น 15 ยูนิต C (มาที่ JVAC ก็แสนง่าย ถ้าใครกลัวรถจะติดก็นั่ง BTS มาลงที่สถานีศาลาแดงได้เลยจ๊ะ)
  •  การรับคำร้องขอวีซ่า วันจันทร์ – วันศุกร์    เวลา 08:30 น. - 17:30 น. (ไม่มีพักกลางวัน) 
  •  การคืนหนังสือเดินทาง วันจันทร์ – วันศุกร์ เวลา 08:30 น. - 17:30 น. (ไม่มีพักกลางวัน)   
  •  วันเสาร์ ตั้งแต่เวลา 08:30 น. - 12:30 น. (สำหรับบุคคลที่ไปรับผลวีซ่าเท่านั้น ไม่สามารถยื่นคำร้อง ขอวีซ่าได้)   

ค่าธรรมเนียมวีซ่า  (ค่าบริการนี้เฉพาะบุคคลที่ถือหนังสือเดินทางสัญชาติไทยเท่านั้นค่ะ)

 ค่าบริการ 535 บาท + ค่าวีซ่าของแต่ละกรณีคะ
  •  วีซ่าทั่วไป        1,120   บาท
  •  วีซ่า Multiple    2,260   บาท (สำหรับการเดินทางหลายครั้ง) 
  •  วีซ่าทรานซิท     260    บาท (สำหรับการเดินทางผ่าน)

สิ่งที่ควรรู้ในการทำวีซ่าญี่ปุ่น

1. การยื่นคำร้องและหนังสือเดินทาง
    สำหรับวันและเวลาในการคืนหนังสือเดินทาง(การฟังผลวีซ่า) กรุณาตรวจยืนยันวันที่คืนหนังสือเดินทางตามที่ระบุไว้ในใบนัดฟังผล โดยที่ศูนย์ JVAC จะคืนหนังสือเดินทางได้เร็วที่สุด คือ 5 วันทำการ (ซึ่งที่ JVAC ตรงเวลามากๆ ไม่มีการผลัดวันประกันพรุ่งแน่นอนค่ะ^^)

2. หนังสือเดินทาง  
    มีอายุการใช้งานไม่น้อยกว่า 6 เดือน ต้องมีหน้าว่างที่ไม่มีตราประทับมากกว่า 2 หน้าขึ้นไป สำหรับใครที่เคยมีหนังสือเดินทางเล่มเก่า ให้นำมาด้วยนะค่ะ

3. ใบคำร้องขอวีซ่าและแบบสอบถามเพื่อการขอวีซ่า
    1)   ใช้แบบฟอร์มจากโฮมเพจของสถานทูตญี่ปุ่นประจำประเทศไทย หรือรับได้ที่ศูนย์ JVAC
    2)   กรุณากรอกข้อความในใบคำร้องเป็นภาษาอังกฤษให้ครบถ้วน สำหรับแบบสอบถามเพื่อการขอวีซ่าสามารถกรอกเป็นภาษาไทยได้ หากกรอกข้อความไม่สมบูรณ์จะทำให้ไม่สามารถพิจารณาออกวีซ่าได้ (ถ้าข้อความที่กรอกไว้ไม่เป็นความจริงทางสถานทูตฯจะ ปฏิเสธการออกวีซ่า)

4. รูปถ่ายที่ติดในใบคำร้อง
    รูปถ่าย ขนาด 2 x 2 นิ้ว จำนวน 1 รูป แบบสี ที่มีพื้นหลังเป็นสีขาวเท่านั้น ไม่มีลวดลาย ไม่มีการแต่งภาพถ่าย จะต้องเป็นรูปถ่ายที่ชัดเจน และถ่ายมาไม่เกิน 6 เดือน พร้อมติดรูปลงในใบคำร้องให้เรียบร้อย (หากรูปถ่ายไม่ได้มาตรฐานจะไม่สามารถรับคำร้องได้)

5. เอกสารที่ใช้ประกอบ 

   1)  ระมัดระวังในการเตรียมเอกสารเนื่องจากเอกสารที่ใช้ประกอบการยื่นคำร้อง ขอวีซ่า จะแตกต่างกันไปขึ้นอยู่กับวัตถุประสงค์ของการเดินทาง ถ้าเอกสารไม่ครบจะไม่รับพิจารณาคำร้อง
   2)  เรียงลำดับเอกสารตามระเบียบการขอวีซ่าให้เรียบร้อยก่อนยื่นคำร้องที่เคาน์เตอร์
   3)  หากยื่นเอกสารปลอมหรือให้ข้อมูลอันเป็นเท็จ ทางสถานทูตฯจะปฏิเสธการพิจารณาออกวีซ่า
   4)  โดยหลักการเอกสารที่ใช้ประกอบการยื่นคำร้องจะไม่คืนให้กับ ผู้ยื่น หากมีเอกสารใดๆก็ตามที่ ต้องการขอคืน กรุณาแนบสำเนาและแจ้งพนักงานที่ศูนย์ JVAC ให้ทราบด้วย
   5) ถึงแม้ว่าเอกสารที่ยื่นไว้จะครบสมบูรณ์ก็ตามแต่ไม่ได้หมายความว่าจะได้รับการออกวีซ่าเสมอไป

6. เพิ่มเติมค่ะ
   1)  ในกรณีที่มีการยื่นขอวีซ่าเป็นหมู่คณะ คือมีวัตถุประสงค์และกำหนดการเดินทางเหมือนกัน ขอแนะนำให้ยื่นวีซ่าพร้อมกันเป็นหมู่คณะไม่ควรแยกยื่น
   2)  ในกรณีที่มีการปฏิเสธการออกวีซ่า ทางสถานทูตฯขอสงวนสิทธิ์ที่จะไม่อธิบายเหตุผล ถ้าต้องการยื่นวีซ่าอีกครั้งด้วยวัตถุประสงค์เดิมจะไม่สามารถยื่นได้ภายใน 6 เดือนนับจากวันที่ได้รับการปฎิเสธวีซ่า
   3)  ข้อแนะนำผู้ยื่นขอวีซ่า ให้จัดการเรื่องตั๋วเครื่องบินหลังจากทางสถานทูตฯอนุมัติวีซ่าแล้ว ยกเว้น กรณีผู้ยื่นขอวีซ่าทรานซิทเท่านั้น ที่จะต้องแสดงตั๋วเครื่องบินเพื่อประกอบการพิจารณา ทางสถานทูตฯไม่สามารถรับผิดชอบใดๆได้ ในกรณีที่วีซ่าไม่ผ่านแม้ผู้ยื่นแจ้งว่าได้ซื้้อตั๋วเครื่องบินแล้ว



เอกสารใช้ประกอบการยื่นวีซ่าประเทศญี่ปุ่น (วีซ่าเดี่ยว)
  • ระเบียบการขอวีซ่าประเภทการพำนักระยะสั้น เพื่อการท่องเที่ยว เยี่ยมเพื่อน หรือคนรู้จัก 

    1. หนังสือเดินทาง (ต้องมีอายุการใช้งานไม่น้อยกว่า 6 เดือน ในวันยื่นขอวีซ่ามีหน้าว่างที่ไม่มีตรา

        ประทับมากกว่า 2 หน้าขึ้นไป หากมีหนังสือเดินทางเล่มเก่า ให้นำมาแสดงด้วย)         

    2. ใบคำร้องขอวีซ่า (สามารถพิมพ์มาจากโฮมเพจของสถานทูตญี่ปุ่นประจำประเทศไทย 

         หรือรับได้ที่ศูนย์ JVAC) 1ใบ

     

ตัวอย่าง   ใบคำร้องขอวีซ่า


ตัวอย่าง  การกรอกใบคำร้องขอวีซ่า

 (ข้อสังเกตง่ายๆ ค่ะ ถ้าช่องไหนที่เราไม่มีคำตอบ จะต้องใส่คำว่า NIL แทนการเว้นว่างนะค่ะ)


            3. รูปถ่าย (ขนาด 2 x 2 นิ้ว สีหรือขาวดำ ที่มีพื้นหลังเป็นสีขาวเท่านั้น ไม่มีลวดลาย จะต้องเป็น

                รูปถ่ายที่ชัดเจน และถ่ายมาไม่เกิน 6 เดือน พร้อมติดรูปถ่ายลงในใบคำร้อง) 1ใบ

            4. แบบสอบถามเพื่อการยื่นขอวีซ่า (กรุณากรอกโดยเลือกตามวัตถุประสงต์ในการเดินทาง
 
                และลายเซ็นตามหนังสือเดินทาง)   ภาษาอังกฤษ หรือ ภาษาไทย  1ใบ

ตัวอย่าง แบบสอบถามเพื่อการยื่นขอวีซ่า 

แบบภาษาไทย

หรือ แบบภาษาอังกฤษ

           5. ทะเบียนบ้าน ฉบับจริงและสำเนา 1 ชุด
     
           6.  1) ในกรณีที่ผู้ยื่นเป็นพนักงาน หรือข้าราชการ ให้แสดงหนังสือรับรองการทำงานจากหน่วยงาน
                    ที่สังกัด (ให้ระบุตำแหน่ง วันเริ่มทำงาน อัตราเงินเดือน และระยะเวลาวันลาพักร้อน)

               2) ในกรณีที่ประกอบธุรกิจส่วนตัว ให้แสดงหนังสือรับรองการจดทะเบียนบริษัท หรือทะเบียนการ
                    ค้าจากกระทรวงพาณิชย์
 
               3) ในกรณีนักเรียนนักศึกษาที่มีอายุตั้งแต่ 16 ปีขึ้นไป ให้แสดงหนังสือรับรองสถานภาพการเป็น
                   นักเรียนนักศึกษา และหนังสือรับรองการทำงาน หรือหนังสือรับรองการจดทะเบียนบริษัท 
                   หรือทะเบียนการค้าของผู้อุปการะ

              4) ในกรณีผู้อยู่ภายใต้อุปการะเลี้ยงดู เช่น แม่บ้านที่ไม่ได้ทำงาน ให้แสดงหนังสือรับรองการทำ
                  งาน หรือหนังสือรับรองจดทะเบียนบริษัท หรือทะเบียนการค้าของผู้อุปการะ
                  (เอกสารทุกอย่างจะต้องออกไม่เกิน 3 เดือน ในกรณีที่ผู้ยื่นไม่มีอาชีพ หรือประกอบอาชีพที่ไม่                   สามารถแสดงหนังสือรับรองการทำงาน หรือหนังสือรับรองการจดทะเบียนบริษัท หรือ
                  ทะเบียนการค้าได้ กรุณาทำหนังสืออธิบายอาชีพและรายได้ โดยละเอียด) ฉบับจริง 1 ชุด  

          7. ผู้ที่เดินทางเป็นครั้งแรก หากเคยเปลี่ยนชื่อตัว-สกุล หรือผู้ที่ได้เปลี่ยนชื่อตัว-สกุลหลังจากเดิน
              ทางไปประเทศญี่ปุ่นครั้งที่แล้ว ให้เตรียมเอกสารแสดงการเปลี่ยนชื่อตัว-สกุล เช่น ใบเปลี่ยนชื่อ
              ตัว-สกุล ใบสำคัญการสมรส ใบสำคัญการหย่า ฉบับจริงและสำเนา 1 ชุด

          8. สมุดบัญชีเงินฝากธนาคาร(ของผู้ยื่นคำร้อง หรือผู้อุปการะ) ฉบับจริงและสำเนา(ทุกหน้า)1 ชุด
             (ใช้สำหรับยื่นในกรณีที่ผู้ยื่นเป็นผู้รับผิดชอบค่าใช้จ่ายในการเดินทางด้วย ตัวเอง ยกเว้นสำหรับผู้
             ยื่นที่เป็นข้าราชการ หรือพนักงานบริษัทที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ หรือพนักงาน
             รัฐวิสาหกิจ หรือมหาวิทยาลัย เป็นต้น ซึ่งมีอัตราเงินเดือนตั้งแต่ 2 หมื่นบาทขึ้นไป และสามารถ
             ตรวจสอบได้จากหนังสือรับรองการทำงาน ไม่ต้องยื่นสมุดบัญชีธนาคาร ทั้งนี้รวมถึงการยื่น
             สำหรับครอบครัวในความอุปการะของบุคคลดังกล่าวด้วย)

**เบลมีเทคนิคง่ายๆ ในการเรียงเอกสารมาบอกเพื่อนๆ สำหรับใครที่ยังไม่เคยเข้าญี่ปุ่นค่ะ  
   
ใบรับรองการทำงาน + สมุดบัญชีเงินฝากธนาคาร + ทะเบียนบ้าน = งาน + เงิน + บ้าน (จำง่ายมั้ยค่ะ)
แต่เพื่อนๆ อย่าลืมนะค่ะ ว่าเวลาไปแสดงตัวต้องพกทั้งฉบับจริง และสำเนาไปด้วย

ขั้นตอนการไปยื่นวีซ่าที่ JVAC (สำหรับวีซ่าเดี่ยว)

1. รับบัตรคิวด้านหน้าประตู ซึ่งจะมี รปภ. คอยอำนวยความสะดวกให้เราอยู่ค่ะ
2. เมื่อถึงคิวเราแล้ว ก็ไปยังหน้าเคาเตอร์ตามหมายเลขที่ประกาศเรียก พร้อมกับเอกสารที่เราเตรียมมาอย่างครบถ้วนค่ะ
3. เจ้าหน้าที่ก็จะตรวจเช็คเอกสารของเรา การไปแสดงตัวต่อเจ้าหน้าที่นั้นก็ใช้เวลาแค่ 5 นาทีเองค่ะ ยืนสวยๆอยู่หน้าเคาน์เตอร์นั้นละค่ะ555  เมื่อเสร็จขั้นตอนนี้แล้ว ก็จะให้บัตรคิวใบเดิมเรามาเพื่อรอเรียกไปยังเคาเตอร์เก็บเงิน
4.เมื่อเรียกคิวเราไปที่เคาน์เตอร์เก็บเงิน ก็จ่ายเงินตามที่เขาเรียกเก็บ เจ้าหน้าที่ก็จะให้ใบเสร็จพร้อมด้วยวันนัดมารับเล่ม พร้อมกับฟังผลวีซ่าค่ะ ซึ่งก็เสร็จขั้นตอนทั้งหมดล่ะ รอเวลา 5 วันทำการในการมาฟังผลนะค่ะ


***ส่วนคนไหนที่เคยเดินทางไปญี่ปุ่นมาแล้วไม่เกิน 5 ปี และเคยอยู่ญี่ปุ่นไม่เกิน 15 วัน

    เอกสารประกอบ

   1.   รูปถ่าย 2x2 นิ้ว พื้นหลังสีขาวเท่านั้น 1 ใบ
   2.   ใบคำร้องขอวีซ่า
   3.   แบบสอบถามเพื่อการยื่นขอวีซ่า
   4.   หนังสือรับรองการทำงานจากบริษัทฯ หรือต้นสังกัด (เป็นภาษาอังกฤษเท่านั้น)
         - ระบุตำแหน่ง / จำนวนเงินเดือน / วันที่เริ่มเข้าทำงาน / ช่วงวันที่เดินทาง

   5.   หนังสือรับรองบริษัทหรือทะเบียนการค้า สำหรับเจ้าของกิจการ (ฉบับจริงพร้อมสำเนา 1 ชุด)

****เอกสารใช้ประกอบการยื่นวีซ่าประเทศญี่ปุ่น (วีซ่ากรุ๊ป)

สำหรับผู้ใหญ่ (กรณีเป็นเจ้าของกิจการ)
1.  หนังสือเดินทาง (ต้องมีอายุการใช้งานไม่น้อยกว่า 6 เดือน นับจากวันเดินทาง) หากมีเล่มเก่า รบกวนส่งมาด้วย
2.  รูปถ่ายหน้าตรง ขนาด 2X2 นิ้ว จำนวน 2 ใบ (พื้นหลังสีขาวเท่านั้น)
3.  สำเนาทะเบียนบ้าน
4.  สำเนาหนังสือรับรองบริษัทฯ ที่ออกโดยกระทรวงพาณิชย์ อายุต้องไม่เกิน 2 เดือน พร้อมประทับตราบริษัทฯ
5.  สำเนาทะเบียนสมรส (ถ้ามี)
6.  สำเนาใบเปลี่ยนชื่อ-นามสกุล (ถ้ามี)

สำหรับผู้ใหญ่ (กรณีเป็นพนักงานบริษัทฯ หรือข้าราชการ)
1.  หนังสือเดินทาง  (ต้องมีอายุการใช้งานไม่น้อยกว่า 6 เดือน นับจากวันเดินทาง) หากมีเล่มเก่ารบกวนส่งมาด้วย
2.  รูปถ่ายหน้าตรง ขนาด 2X2 นิ้ว จำนวน 2 ใบ (พื้นหลังสีขาวเท่านั้น)
3.  สำเนาทะเบียนบ้าน
4.  จดหมายรับรองการทำงาน จากบริษัทฯ หรือต้นสังกัด (เป็นภาษาอังกฤษเท่านั้น)
- ระบุตำแหน่ง/ จำนวนเงินเดือน/ วันที่เริ่มเข้าทำงาน/ ช่วงวันที่เดินทาง
5.  สำเนาทะเบียนสมรส (ถ้ามี)
6.  สำเนาใบเปลี่ยนชื่อ-นามสกุล (ถ้ามี)

สำหรับผู้ใหญ่ (กรณีเป็นแม่บ้าน)
1.  หนังสือเดินทาง (ต้องมีอายุการใช้งานไม่น้อยกว่า 6 เดือน นับจากวันเดินทาง) หากมีเล่มเก่า รบกวนส่งมาด้วย
2.  รูปถ่ายหน้าตรง ขนาด 2X2 นิ้ว จำนวน 2 ใบ (พื้นหลังสีขาวเท่านั้น)
3.  สำเนาทะเบียนบ้าน ของภรรยา และสามี
4.  หลักฐานการงาน สามารถใช้หลักฐานของสามีได้
     - จดหมายรับรองการทำงาน จากบริษัทฯ หรือต้นสังกัด (เป็นภาษาอังกฤษเท่าันั้น)
        ระบุตำแหน่ง/ จำนวนเงินเดือน/ วันที่เริ่มเข้าทำงาน/ ช่วงวันที่เดินทาง
5.  สำเนาทะเบียนสมรส (ถ้ามี)
6.  สำเนาใบเปลี่ยนชื่อ - นามสกุล (ถ้ามี)

สำหรับผู้ใหญ่ (กรณีว่างงาน)
1.  หนังสือเดินทาง (ต้องมีอายุการใช้งานไม่น้อยกว่า 6 เดือน นับจากวันเดินทาง) หากมีเล่มเก่า รบกวนส่งมาด้วย
2.  รูปถ่ายหน้าตรง ขนาด 2X2 นิ้ว จำนวน 2 ใบ (พื้นหลังสีขาวเท่านั้น)
3.  สำเนาทะเบียนบ้าน ของผู้เดินทาง และผู้ที่จะรับรองค่าใช้จ่าย
4.  หลักฐานการงาน สามารถใช้หลักฐานของผู้ที่จะรับรองค่าใช้จ่าย
     -จดหมายรับรองการทำงาน จากบริษัทฯ หรือต้นสังกัด (เป็นภาษาอังกฤษเท่านั้น)
      ระบุตำแหน่ง / จำนวนเงินเดือน / วันที่เริ่มเข้าทำงาน
5.  จดหมายชี้แจงถึงสถานทูต เนื้อหาเกี่ยวกับรับรองค่าใช้จ่ายของผู้เดินทาง ในการเดินทางไปประเทศญี่ปุ่น พร้อมระบุช่วงเวลาที่จะเดินทางของผู้เดินทาง
6.  สำเนาทะเบียนสมรส (ถ้ามี)
7.  สำเนาใบเปลี่ยนชื่อ - นามสกุล (ถ้ามี)
สำหรับผู้ใหญ่   ( กรณีผู้สูงอายุ เกษียณ )  อายุตั้งแต่ 60 ปี ขึ้นไป
1.       หนังสือเดินทาง  ( ต้องมีอายุการใช้งานไม่น้อยกว่า 6 เดือน  นับจากช่วงวันเดินทาง )
2.       รูปถ่ายหน้าตรง   ขนาด 2 x 2 นิ้ว จำนวน  ใบ  ( พื้นหลังรูปต้องเป็นสีขาวเท่านั้น )
3.       สำเนาทะเบียนบ้าน    
4.       สำเนาบัตรข้าราชการ  กรณีเป็นข้าราชการบำเหน็จ บำนาญ  ที่เกษียณอายุแล้ว
5.       สำเนาทะเบียนสมรส  ( ถ้ามี )
6.       สำเนาใบเปลี่ยน ชื่อ นามสกุล  ( ถ้ามี )

สำหรับเด็ก   ( กรณีเป็นนักเรียน นักศึกษา ที่เดินทางพร้อมบิดา หรือมารดา )

1.       หนังสือเดินทาง  ( ต้องมีอายุการใช้งานไม่น้อยกว่า 6 เดือน  นับจากช่วงวันเดินทาง )
2.       รูปถ่ายหน้าตรง   ขนาด 2 x 2 นิ้ว   จำนวน  ใบ  ( พื้นหลังรูปต้องเป็นสีขาวเท่านั้น )
3.       สำเนาทะเบียนบ้าน
4.       จดหมายรับรองจากสถานศึกษา ตัวจริง   ( เป็นภาษาอังกฤษเท่านั้น )
ถ้ากรณีที่ยังไม่ได้เข้าเรียน   ไม่ต้องใช้หลักฐานข้อนี้
5.       สำเนาใบเปลี่ยน ชื่อ นามสกุล  ( ถ้ามี )

 

สำหรับเด็ก   ( กรณีเป็นนักเรียน นักศึกษา ที่เดินทางโดยไม่มีบิดา-มารดา ไปด้วย )

1.       หนังสือเดินทาง  ( ต้องมีอายุการใช้งานไม่น้อยกว่า 6 เดือน  นับจากช่วงวันเดินทาง )
2.       รูปถ่ายหน้าตรง   ขนาด 2 x 2 นิ้ว   จำนวน  ใบ  ( พื้นหลังรูปต้องเป็นสีขาวเท่านั้น )
3.       สำเนาทะเบียนบ้าน ของเด็ก  และผู้ปกครอง บิดาหรือมารดา
4.       จดหมายรับรองจากสถานศึกษา ตัวจริง   ( เป็นภาษาอังกฤษเท่านั้น )
ถ้ากรณีที่ยังไม่ได้เข้าเรียน   ไม่ต้องใช้หลักฐานข้อนี้
5.       หลักฐานการเงิน    สามารถใช้หลักฐานของผู้ปกครอง  บิดาหรือมารดา
สำเนาสมุดเงินฝาก  ถ่ายทุกหน้าตั้งแต่หน้าที่มีชื่อเจ้าของบัญชี  จนถึงหน้าสุดท้ายที่มีการทำรายการ
( รบกวนปรับยอดเงินในสมุด  ให้เป็นยอดบัญชีของเดือนล่าสุด )
6.       หลักฐานการงาน   สามารถใช้หลักฐานของผู้ปกครอง  บิดาหรือมารดา
จดหมายรับรองการทำงาน  จากบริษัทฯ  หรือต้นสังกัด   ( เป็นภาษาอังกฤษเท่านั้น )
   ระบุตำแหน่ง  จำนวนเงินเดือน  วันที่เริ่มเข้าทำงาน
7.       สำเนาใบเปลี่ยน ชื่อ นามสกุล  ( ถ้ามี )


อย่าลืมนะค่ะ  ใครที่จะเดินทางแล้ว ต้องมีเอกสารเตรียมพร้อมสำหรับการออกนอกประเทศ และการเข้าประเทศญี่ปุ่นตามนี้ด้วยนะค่ะ

การเข้า-ออก จากประเทศไทย ต้องมีเอกสารเพิ่มเติมอีกนิดนึงค่ะ
  • ใบ Thai Immigration Bureau กรอกข้อมูลเตรียมไว้ทั้งขาเข้า และขาออกเลยค่่ะ

 ตัวอย่าง บัตรขาออก



ตัวอย่าง บัตรขาเข้า



การเข้า-ออกประเทศญี่ปุ่นก็ต้องมีบัตรเช่นเดียวกันค่ะ
  • ใบ Disembarkation card for foreigner กรอกข้อมูลเตรียมไว้ทั้งขาเข้า-ขาออกเช่นเดียวกันค่่ะ
ตัวอย่าง  ใบเข้า-ออกประเทศญี่ปุ่น (ด้านหน้า)


ตัวอย่าง ใบเข้า-ออกประเทศญี่ปุ่น (ด้านหลัง)



 เห็นแล้วใช่มั้ยค่ะ จริงๆแล้วการเตรียมเอกสาร หรือการติดต่อประสานงานไปยังหน่วยงานทั้งการทำพาสปอร์ต และการทำวีซ่าไม่ใช่เรื่องยากเลยสักนิด เบลคิดว่าแค่เพื่อนๆ อาจต้องมีความรอบคอบสักนิดในการเช็คเอกสารให้ละเอียด ถ้ามีอะไรที่สงสัย หรืออยากรู้อะไรเพิ่มเติม ก็สามารถถามเบลได้เลยนะค่ะ แค่อยากช่วยแบ่งปันข้อมูล สำหรับคนรักญี่ปุ่นอย่างเราๆ:)

วันจันทร์ที่ 10 ตุลาคม พ.ศ. 2554

หนังสือเดินทาง (Passport) เรื่องง่ายๆ ^^

ทำ Passport ที่ไหนได้บ้างเอ่ย? 
- กรมการกงสุล แจ้งวัฒนะ
  ที่อยู่ 123 ถนนแจ้งวัฒนะ เขตหลักสี่ กรุงเทพฯ 10210

- สำนักงานหนังสือเดินทางชั่วคราว บางนา
  ที่อยู่ ศูนย์การค้าเซ็นทรัลซิตี้บางนา อาคาร "บางนาฮอลล์"(ด้านข้างศูนย์การค้า) ชั้น B1

- สำนักงานหนังสือเดินทางชั่วคราว ปิ่นเกล้า
  ที่อยู่ อาคารธนาลงกรณ์ทาวเวอร์(ชั้นใต้ดิน) แขวงบางบำหรุ เขตบางพลัด กทม. 10700


- สำนักงานหนังสือเดินทาง ศูนย์บริการการไปทำงานต่างประเทศ
  ที่อยู่ อาคารประกันสังคม กระทรวงแรงงาน ดินแดง กทม.

- สำนักงานหนังสือเดินทางชั่วคราว จังหวัดขอนแก่น
  ที่อยู่ หอประชุมอำเภอเมืองขอนแก่น ถนนศูนย์ราชการ อำเภอเมือง จังหวัดขอนแก่น 40000

- สำนักงานหนังสือเดินทางชั่วคราว จังหวัดเชียงใหม่
  ที่อยู่ ศูนย์ราชการจังหวัดเชียงใหม่ ถนนโชตนา ตำบลช้างเผือก อำเภอเมือง จังหวัดเชียงใหม่ 50000

- สำนักงานหนังสือเดินทางชั่วคราว จังหวัดสงขลา
  ที่อยู่ ศูนย์ราชการจังหวัดสงขลา  อำเภอเมือง จ.สงขลา 90000

- สำนักงานหนังสือเดินทางชั่วคราว จังหวัดอุบลราชธานี
  ที่อยู่ อาคารสำนักงานองค์การบริหารส่วนจังหวัด อำเภอเมือง จังหวัดอุบลราชธานี 34000

- สำนักงานหนังสือเดินทางชั่วคราว จังหวัดสุราษฎร์ธานี
  ที่อยู่ ศาลาประชาคม ถนนหน้าเมือง อำเภอเมือง จังหวัดสุราษฎร์ธานี 84000

- สำนักงานหนังสือเดินทางชั่วคราว จังหวัดนครราชสีมา
  ที่อยู่ ศาลากลางจังหวัดนครราชสีมา ถนนมหาดไทย อำเภอเมือง จังหวัดนครราชสีมา 30000

- สำนักงานหนังสือเดินทางชั่วคราว จังหวัดอุดรธานี
  ที่อยู่ ศูนย์อเนกประสงค์ ศาลากลางจังหวัดอุดรธานี(ตรงข้ามกับศาลหลักเมือง)  ถนนอธิบดี                    อำเภอ เมือง จังหวัดอุดรธานี 41000

- สำนักงานหนังสือเดินทางชัวคราว จังหวัดพิษณุโลก
  ที่อยู่ ศาลากลางจังหวัดพิษณุโลก ถนนเทพารักษ์ อำเภอเมือง จังหวัดพิษณุโลก 65000 

- สำนักงานหนังสือเดินทางชั่วคราว จังหวัดยะลา
  ที่อยู่ ศูนย์อำนวยการบริหารจังหวัดชายแดนภาคใต้ (ศอ.บต.) ถนนสุขยางค์ อำเภอเมือง                           จังหวัดยะลา  95000

- สำนักงานหนังสือเดินทางชั่วคราว ภูเก็ต
   ที่อยู่ ศาลากลางจังหวัดภูเก็ต ถนนนริศร อำเภอเมือง จังหวัดภูเก็ต 83000

- สำนักงานหนังสือเดินทางชั่วคราว นครสวรรค์
  ที่อยู่ ศูนย์บริการร่วมจังหวัดนครสวรรค์ ห้างสรรพสินค้าบิ๊กซี ถนนพหลโยธิน อำเภอเมือง                         จังหวัดนครสวรรค์ 60000

- สำนักงานหนังสือเดินทางชั่วคราว จันทบุรี
  ที่อยู่ อาคารลานค้าชุมชน ถ.เลียบเนิน ต.วัดใหม่ อ.เมือง จ.จันทบุรี 22000


Passport แบ่งเป็น 3 ประเภท มีแบบไหนบ้าง??

1.  Passport แบบธรรมดา ก็จะแบ่งเป็นดังนี้ค่ะ
  •  บุคคลบรรลุนิติภาวะแล้ว
           เตรียมเอกสารดังนี้ค่ะ
 
         -  บัตรประจำตัวประชาชนที่ยังมีอายุใช้งาน หรือ บัตรข้าราชการ หรือ บัตรประจำตัวที่ใช้แทนตามกฎ กระทรวงมหาดไทยฉบับจริง (ในกรณีที่เป็นบัตรข้าราชการให้นำสำเนาทะเบียนบ้านมาด้วย)
         -  หากมีรายการแก้ไขชื่อสกุล หรือวันเดือนปีเกิด ฯลฯ ซึ่งไม่ตรงกับบัตรประชาชนให้นำหลักฐานการแก้ไขที่เกี่ยวข้องมาแสดงด้วย
         ค่าธรรมเนียม  การทำหนังสือเดินทางใหม่เสียค่าธรรมเนียม 1,000 บาท

  •    ผู้เยาว์อายุต่ำกว่า 15 ปี
             เตรียมเอกสารดังนี้ค่ะ    
        
          -  สูติบัตรฉบับจริง หากเป็นสำเนาสูติบัตรต้องได้รับการรับรองจากอำเภอ/เขต
          -  บิดาและมารดา หรือผู้มีอำนาจปกครองนำบัตรประชาชนฉบับจริงมาลงนามต่อหน้าเจ้าหน้าที่
บัตร ประจำตัวประชาชนที่ยังมีอายุใช้งาน หรือ บัตรที่ใช้แทนได้ตามกฎกระทรวงมหาดไทย ของบิดา มารดา หรือผู้มีอำนาจปกครองฉบับจริง หากชื่อนามสกุลบิดา มารดาในสูติบัตรไม่ตรงกับบัตรประจำตัวประชาชน ให้นำหลักฐานการเปลี่ยนชื่อ หรือ นามสกุลที่เป็นต้นฉบับมาแสดงด้วย ในกรณีที่มารดาหย่า และจดทะเบียนสมรสใหม่ และใช้นามสกุลใหม่ตามสามีให้นำหลักฐานการหย่าและการสมรสที่เป็นต้นฉบับมา แสดงด้วย
          -  หนังสือยินยอมให้ผู้เยาว์เดินทางไปต่างประเทศและบัตรประจำตัวประชาชนฉบับ จริงของบิดามารดาที่ไม่มา ในกรณีที่บิดา/มารดาฝ่ายหนึ่งฝ่ายใดไม่สามารถมาแสดงตัวได้
**หนังสือยินยอมของบิดา/มารดา ต้องผ่านการรับรองจากอำเภอ/เขต
    (ผู้เยาว์อายุต่ำกว่า 15 ปี ต้องมีบิดาหรือมารดา คนใดคนหนึ่งมาแสดงตัวให้ความยินยอม)
          -  เอกสารอื่น ๆ ที่จำเป็น อาทิ หลักฐานใบเปลี่ยนชื่อ เปลี่ยนนามสกุล เอกสารหลักฐานการรับรอง บุตรหรือรับบุตรบุญธรรม บันทึกการหย่า ซึ่งมีข้อความระบุให้บุตรอยู่ในความดูแลของบิดา หรือมารดา เป็นต้น
          -  กรณีบิดา มารดาผู้เยาว์เสียชีวิต / บิดาหรือมารดาผู้เยาว์เป็นชาวต่างชาติมิได้จดทะเบียนสมรสและ ไม่สามารถตามหาฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งมาให้ความยินยอมได้ /บิดามารดามิได้จดทะเบียนสมรสแต่บุตรอยู่ในความดูแลของบิดาฝ่ายเดียวมาตลอด และไม่สามารถตามหามารดาได้ ให้นำคำสั่งศาลซึ่งระบุชื่อผู้มีอำนาจปกครอง พร้อมบัตรประจำตัวประชาชนของผู้มีอำนาจปกครองมาแสดง
           -  ค่าธรรมเนียม  การทำหนังสือเดินทางใหม่เสียค่าธรรมเนียม 1,000 บาท

                   
  •    ผู้เยาว์อายุระหว่าง 15 ปีขึ้นไปแต่ยังไม่ครบ 20 ปีบริบูรณ์  
              เตรียมเอกสารดังนี้ค่ะ

            -  บัตรประจำตัวประชาชนที่ยังมีอายุใช้งาน หรือ บัตรประจำตัวที่ใช้แทนตามกฎกระทรวง     มหาดไทย
            -  หนังสือยินยอมให้ผู้เยาว์เดินทางไปต่างประเทศที่ผ่านการรับรองจากอำเภอ/เขต และบัตรประจำตัวประชาชนของผู้ปกครอง พร้อมรับรองสำเนาถูกต้อง
            -  เอกสารอื่น ๆ ที่จำเป็น อาทิ หลักฐานใบเปลี่ยนชื่อ เปลี่ยนนามสกุล เอกสารหลักฐานการรับรองบุตรหรือรับบุตรบุญธรรมใบสำคัญการสมรส ทะเบียนสมรส ทะเบียนหย่า ทะเบียนบ้าน คำสั่งศาลกรณีระบุผู้มีอำนาจปกครองแทนบิดามารดา เป็นต้น
            -  ค่าธรรมเนียม การทำหนังสือเดินทางเสียค่าธรรมเนียม 1,000 บาท


    ขั้นตอนการขอ Passport ใหม่ค่ะ 

     1.  รับบัตรคิว
     2. ยื่นบัตรประจำตัวประชาชนที่มีเลข 13 หลัก(หากไม่มีเลข 13 หลัก ต้องนำสำเนาทะเบียนบ้านมาแสดง) พร้อมเอกสารหลักฐานอื่น ๆที่จำเป็น อาทิ หากเปลี่ยนชื่อสกุล ต้องมีหลักฐานการเปลี่ยนชื่อ นามสกุล ทะเบียนสมรส ฯลฯ มาแสดง เพื่อตรวจสอบข้อมูล
         - ข้อมูลชีวภาพ (วัดส่วนสูง เก็บลายพิมพ์นิ้วมือนิ้วชี้ซ้ายและนิ้วชี้ขวาด้วยเครื่องสแกนเนอร์ และถ่ายรูปใบหน้า )
         - แจ้งความประสงค์หากต้องการขอรับเล่มทางไปรษณีย์
     3. ชำระค่าธรรมเนียม 1,000 บาท (และค่าส่งไปรษณีย์ 35 บาทหากประสงค์ให้จัดส่งทางไปรษณีย์) รับใบเสร็จรับเงิน และรับใบนัดรับเล่ม


     การรับเล่มหนังสือเดินทาง (Passport)
 
  • หากยื่นที่กรมการกงสุล ผู้ร้องสามารถรับหนังสือเดินทางได้ 2 วันทำการไม่นับวันยื่นคำร้อง หากรับทางไปรษณีย์จะได้รับใน 5 วันทำการ 
  • หากยื่นที่สำนักงานสาขาในกรุงเทพฯ (ปิ่นเกล้าและบางนา) ผู้ร้องจะได้รับเล่มภายใน 2 วันทำการไม่นับวันยื่นคำร้อง หากรับทางไปรษณีย์จะได้รับใน 5 วันทำการ
  • กรณียื่นคำร้องที่สำนักงานสาขาในต่างจังหวัดและขอให้จัดส่งทางไปรษณีย์ผู้ร้อง (ในเขตเมือง) จะได้รับหนังสือเดินทางภายใน 5 วันทำการ
  • โดยที่กระทรวงฯ ได้ติดตั้งเครื่องอ่านหนังสือเดินทางอิเล็กทรอนิกส์จำลองเพื่อผู้ร้องสามารถ ทดสอบการผ่านเข้า-ออกท่าอากาศยานโดยอัตโนมัติไว้ 1 เครื่อง ที่กรมการกงสุล ดังนั้นจึงแนะนำให้ผู้ขอหนังสือเดินทางอิเล็กทรอนิกส์มารับเล่มด้วยตนเอง เพื่อให้ผู้ถือหนังสือเดินทางมีความคุ้นเคยกับการใช้หนังสือเดินทาง อิเล็กทรอนิกส์และระบบตรวจคนเข้าเมืองอัตโนมัติ
  • ในกรณีจำเป็น สามารถมอบอำนาจให้ผู้อื่นรับแทนหรือให้จัดส่งทางไปรษณีย์ (EMS)
        1. กรมการกงสุล 
    -  รับด้วยตนเอง      เอกสารที่ใช้
      1) บัตรประชาชนตัวจริงของผู้รับ
      2) ใบรับหนังสือเดินทาง
      ระยะเวลา  2 วันทำการ (ไม่รวมวันยื่นคำร้อง)

    -  ให้ผู้อื่นมารับแทน  เอกสารใช้
    1) บัตรประชาชนตัวจริงของผู้ถือหนังสือเดินทาง
    2) บัตรประชาชนตัวจริงของผู้รับแทน
    3) ใบรับหนังสือเดินทางที่ลงนามมอบอำนาจแล้ว
    ระยะเวลา  2 วันทำการ (ไม่รวมวันยื่นคำร้อง)
  
    - รับทางไปรษณีย์
       5-7 วันทำการ (ไม่รวมวันเสาร์-อาทิตย์) 

        2. สำนักงานหนังสือเดินทางในกรุงเทพฯ 
  •  ปิ่นเกล้า
  •  บางนา
  •  ศูนย์บริการการไปทำงานต่างประเทศ                                                                                              -  รับด้วยตนเอง      เอกสารที่ใช้
          1) บัตรประชาชนตัวจริงของผู้รับ
          2) ใบรับหนังสือเดินทาง
          ระยะเวลา  2 วันทำการ (ไม่รวมวันยื่นคำร้อง)

    -  ให้ผู้อื่นมารับแทน  เอกสารใช้
        1) บัตรประชาชนตัวจริงของผู้ถือหนังสือเดินทาง
        2) บัตรประชาชนตัวจริงของผู้รับแทน
        3) ใบรับหนังสือเดินทางที่ลงนามมอบอำนาจแล้ว
        ระยะเวลา  2 วันทำการ (ไม่รวมวันยื่นคำร้อง)
      
     - รับทางไปรษณีย์
       5-7 วันทำการ (ไม่รวมวันเสาร์-อาทิตย์)                                                                                                                                                                                                                                3. สำนักงานหนังสือเดินทางในต่างจังหวัดทุกแห่ง - รับทางไปรษณีย์เพียงทางเดียว 
            5-7 วันทำการ (ไม่รวมวันเสาร์-อาทิตย์)
         4. หน่วยหนังสือเดินทางเคลื่อนที่
         - รับทางไปรษณีย์เพียงทางเดียว
         
           7-10 วันทำการ (ไม่รวมวันเสาร์-อาทิตย์)