วันอังคารที่ 27 ธันวาคม พ.ศ. 2554

First time in Japan

        ในที่สุดก็มีบุญได้ไปเมืองนอกกับเค้าซะที โฮะๆๆๆูู^^ เมื่อบริษัทที่เบลทำอยู่ ให้โอกาสไปญี่ปุ่น เบลก็ควรรีบคว้าไว้ก่อน จริงมั้ยค่ะ กำหนดการเดินทางก็คือวันที่ 4-9 ตุลาคม ที่ผ่านมานี่เองค่ะ ในหน้าที่ผู้ช่วยหัวหน้าทัวร์คนเก่งชื่อว่า พี่อุ้มสุดน่ารักของเบลเอง:) ไปคณะการดูงานของสมาคมบริษัทจดทะเบียนไทย (EDP) เป็นการไปเพื่อการเรียนรู้งาน ก็คงเป็นการไปฝึกตัวเบลนี่แหละค่ะ เพราะไม่เคยรู้ในการปฏิบัติจริงเลยค่ะ ว่าต้องทำยังไงบ้าง ควรพูดยังไง ไรงี้:(

        เบลจะขอเล่าประสบการณ์ตั้งแต่ที่สนามบินสุวรรณภูมิ กลางคืนวันแรกของการเดินทางที่           4 ตุลาคมกันเลยนะค่ะ เบลก็ต้องมาสแตนบายรอลูกค้าซึ่งเดินทางไปทั้งสิ้น 65 ท่านด้วยกันค่ะ ลูกค้าก้อทยอยกันมาเรื่อยๆ ซึ่งเรามีจุดนัดพบกันที่เคาน์เตอร์ R เวลาประมาณสามทุ่ม ซึ่งขอบอกว่าฝรั่ง แขก ไทย เยอะมากๆ จริงๆค่ะ>< ซึ่งเราเดินทางโดยสายการบินเจแปน แอร์ไลน์ เที่ยวบินที่ JL718 ค่ะ ซึ่งแอร์ฯ ของสายการบินนี้ ขอบอกว่าสวย และน่ารัก บริการก็เลิศ ถือว่าประทับใจจริงๆค่ะ สำหรับชั่วโมงบินทั้งหกชั่วโมง เบลก็หลับมันทั้งชั่วโมงบินนั้นและค่ะ ต้องขอชาร์ตแบทไว้หน่อย เพราะเมื่อเครื่องถึงญี่ปุ่นเมื่อไหร่ ก็มีกิจกรรมต่างๆรอให้เบลและลูกค้าต้องทำกันอีกเพียบเลยค่ะ
       
        ในที่สุดเวลาประมาณแปดโมงเช้า ของวันที่ 5 ต.ค เบลก็มาถึงสนามบินนาริตะ ซึ่งสภาพอากาศในวันนี้ก็มีฝนตกด้วยค่ะ เมื่อทุกคนผ่านพิธีตรวจคนเข้าเมือง และศุลกากรจนครบหมดทุกคนกันแล้ว ก็ขึ้นรถบัสที่จัดเตรียมไว้ให้ทั้งสองคันค่ะ ก่อนจะล้อหมุนก็ต้องมีการนับจำนวนกระทบยอดกันไปมาทั้งสองคน เพราะกลัวว่าจะทิ้งใครไว้นะสิค่ะ (เบลดูสภาพของแต่ละท่านแล้ว คงยังไม่พร้อมจะตื่นจริงๆค่ะ สงสัยคงยังปรับสภาพไม่ทัน) มื้อเช้ามื้อแรกของที่นี่ก็ำพาไปรับประทานกันที่โรงแรมฮิลตัน (Hilton) ซึ่งไม่ไกลจากสนามบินเลยค่ะ ใช้เวลาเพียงแค่สิบนาทีเท่านั้น^^ เป็นอาหารแบบบุฟเฟต์ตามใจปากเลยค่ะ จะไข่ ปัง ไส้กรอก เบคอน น้ำผลไม้สำหรับคนรักสังขาร เอ้ย!! รักสุขภาพ และอื่นๆอีกเยอะเลยค่ะ เลือกกินไม่ถูกเลย>< ก็เลยขอเอามาโชว์แบบหอมปากหอมคอพอคร่า...

Breakfast@Hilton Hotel
        เมื่อท้องอิ่มกันทุกคนแล้ว ในวันนี้ทุกท่านก็เริ่มภารกิจแรกก็คือ การไปเยี่ยมชมพิพิธภัณฑ์เอโดะ (EDO-TOKYO MUSEUM) ซึ่งพิพิธภัณฑ์นี้ก็มีจุดเด่นในการแสดงถึงการเมือง วัฒนธรรม วิถีชีวิตของคนในเมืองเมื่อ 400 ปีก่อน จนถึงปัจจุบัน ซึ่งก็จะมีการแบ่งเป็น 3 ส่วนใหญ่ๆ คือ EDO ZONE, TOKYO ZONE และ HISTORY ZONE เบลว่ามันเป็นอะไรที่น่าทึ่งมากๆจริงๆค่ะ กับวิวัฒนาการที่พัฒนาขึ้นมาเรื่อยๆ ซึ่งถ้าเทียบกับบ้านเราแล้วก็อาจจะคล้ายๆกับพิพิธภัณฑ์มิวเซียมสยาม (MUSEUM SIAM) ที่มีการแสดงวิวัฒนาการจากอดีตจนถึงปัจจุบันเช่นกันค่ะ ผู้เดินทางในคณะที่เบลดูแลก็แยกย้ายกันเดินดู บ้างก็ถ่ายรูป บ้างก็เดินอ่านประวัติของแต่ละชิ้นงาน เบลขอนำภาพภายในพิพิธภัณฑ์เอโดะมาฝากเพื่อนๆ บางส่วนนะค่ะ

บัตรเข้าชมพิพิธภัณฑ์เอโดะ
พิพิธภัณฑ์เอโดะ (EDO-TOKYO MUSEUM)
        ในช่วงบ่ายเราจะไปศึกษาดูงานกันที่ HITACHI TRANSPORT SYSTEM GROUP ซึ่งจะมีการบรรยายจากผู้บริหาร ซึ่งคณะผู้เดินทางต่างก็ให้ความสนใจกันดีนะค่ะ แต่คงเกิดจากที่เราเดินทางโดยเครื่องบินมาหลายชั่วโมง ทำให้เกือบทั้งหมดฟังไปหัวก็ส่ายกันไปมา ซ้าย ขวา หน้า หลัง สับปะหงกกันเป็นแถวๆ เห้อ!! ตัวเบลเองยังเป็นเหมือนกันเลย555 พอจบกันบรรยายปุ๊ป ทุกคนต่างก็ดีใจปั๊บ คงจะไม่ไหวกันจริงๆ ในวันนี้เราจะนอนพักกันที่ GRAND PACIFIC LE DAIBA กันค่ะ เป็นโรงแรมระดับ 5 ดาว ที่ตั้งอยู่บนเกาะโอไดบะ ซึ่งเป็นเกาะใหม่ที่ญี่ปุ่นได้ถมขึ้นจากการใช้ขยะผสมกับคอนกรีต และเป็นแหล่งเศรษฐกิจแห่งใหม่ เพื่อรองรับการขยายตัวของญี่ปุ่นที่ขยายตัวอย่างรวดเร็วค่ะ แต่น่าเสียดาย ที่เบลไม่ได้เอารูปภายในห้องมาให้เพื่อนๆดู พอดีเพลียจัดอ่ะค่ะ:( เบลขอจบเรื่องเล่าของการเดินทางสำหรับวันที่สองแค่นี้นะค่ะ ^^

Pacific Le Daiba Hotel
ฮัลโหลลลล^^
         สำหรับวันที่สามในญี่ปุ่นนะค่ะ ตื่นเช้ามาก็ต้องมีการ MORNING CALL โทรปลุกตามห้องของคณะผู้เดินทางทุกห้อง เพื่อแจ้งอุณหภูมิ "สำหรับวันนี้อุณหภูมิอยู่ที่ 24 องศาเซสเซียส อากาศกำลังสบายๆค่ะ" นี่คือคำพูดที่ต้องโทรแจ้งลูกค้าทั้งหมดค่ะ กว่าจะครบทุกห้องเสียงกลายเป็นเป็ดแล้วค่ะ ก๊าบๆ555 เอาละค่ะ รายการของเราวันนี้ ช่วงเช้าเราก้ออกเดินทางจากโรงแรมไปเยี่ยมชม PANASONIC CENTER ซึ่งมีนวัตกรรมของสินค้าที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในโลก ขอบอกค่ะ ว่าเทคโนโลยีของเค้าเจ๋งจริงๆ แต่อดถ่ายรูปมาฝากเพื่อนๆ เลยค่ะ เพราะเค้าไม่อนุญาต แต่ก็มีแค่โมเดลมาริโอ้ ที่ตั้งอยู่ในโซนของเกมส์ NINTENDO ค่ะ เบลนำมาฝากเพื่อนๆได้แค่นี้ค่ะ

Mario@Panasonic Center

        ในมื้อกลางวันของวันนี้ เราจะพาไปรับประทานอาหารบุฟเฟ่ต์กันที่นี่เลย MUGIBATAKE ซึ่งความพิเศษของที่นี่ก็คือ มีบริการเบียร์แบบบุฟเฟ่ต์หลากหลายเลยค่ะ อิ่มทั้งอาหาร และดื่มด่ำกับเบียร์ตั้งแต่กลางวันกันเลยทีเดียว จนเวลาล่วงเลยพอสมควรแล้ว เวลาประมาณบ่ายสาม เราจึงออกเดินทางไปชอปปิ้งกันต่อที่ GOTEMBA PREMIUM OUTLET ซึ่งมีพื้นที่ขนาดใหญ่ และไม่ไกลจากร้านที่เรากินนัก แต่ละท่านพอลงรถกันได้ ดูมีแรงฮึดขึ้นมากันเลยค่ะ เพราะแต่ละช็อปที่รวมกันอยู่ที่นี่ก็ต่างเป็นที่รู้จัก  ทั้ง GAP, ADIDAS, BURBERRY, BALENCIAGA, PLEATS PLEASE, GUCCI ฯลฯ นี้แค่บางส่วนอันน้อยนิดนะค่ะ ก็จะมีแผนที่แจกให้กับทุกท่าน เพื่อสะดวกในการหาร้านโปรดปรานของแต่ท่านเองด้วย ตัวเบลและพี่อุ้มก็เดินสำรวจไปเรื่อยๆ ตามร้านต่างๆ พี่อุ้มก็จะคอยแนะนำร้านต่างๆ ว่ามีอะไรบ้าง พาไปชิมเครป และขนมกินเล่น  รอเวลาจนถึง 6 โมงเย็นค่ะ เพื่อรอคณะเดินทางของเรามารวมตัวกันค่ะ แต่ละท่านก็เดินแบกเดินลากของชอปปิ้งนานาชนิด ตั้งแต่เสื้อผ้า กระเป๋า รองเท้า ฯลฯ สุดยอดจริงๆค่ะ ยกนิ้วให้เลย

        สำหรับมื้อค่ำของเราในวันนี้ เราพาไปรับประทานกันที่ร้านWAKO  เสิร์ฟทุกท่านด้วย TONKATSU เป็นข้าวหน้าหมูทอด ราดด้วยซอสหวานเข้มข้น มาพร้อมกับสลัด และซุปเข้มข้น ดูเป็นอาหารง่ายๆ แต่ขอบอกว่ารสชาติไม่ธรรมดาจริงๆค่ะ:) 
Tonkatsu@Wako

เมื่อทุกท่านอิ่มหนำสำราญกันไปแล้ว สำหรับใครที่ยังอยากช็อปต่อ พี่อุ้มของเราก็พาไปกันที่ LALA PORT ซึ่งเป็นซุปเปอร์มาร์เก็ตขนาดใหญ่ โดยพวกเราที่อยากจะไปส่วนใหญ่จะเป็นแม่บ้านตัวจริงกันทั้งนั้นเลยค่ะ โดยการเดินทางโดยรถไฟฟ้า เหมือนแห่ขบวนกันไปจริงๆค่ะ ด้วยจำนวนคนประมาณ 20 ท่านด้วยกัน
เหตุการณ์ชุลมุน ณ สถานีรถไฟฟ้า555
        เมื่อทุกคนไปถึงที่นั้น ต่างก็ลากรถเข็นตามพี่อุ้มไปค่ะ เนื่องจากว่าพี่อุ้มเองไปโฆษณาความอร่อยของน้ำสลัดญี่ปุ่น ต่างหยิบต่างซื้อติดไม้ติดมือกันไปคนละหลายๆขวด อร่อยจริงตามที่บอกหรือเปล่า เบลไม่แน่ใจจริงๆค่ะ เพราะซื้อไม่ทันท่านอื่นๆเลย:// จากนั้นทุกท่านก็เดินทางกลับมายังโรงแรม สองไม้สองมือเต็มไปด้วยเครื่องปรุงนานาชนิดมากมายอีกแล้วค่ะ

        มาถึงในวันที่สี่ อุณหภูมิ 24 องศาเช่นเคยค่ะ ภารกิจของเบลในวันนี้ก็คือ การไปช่วยพี่ปุ้ย ซึ่งพากรุ๊ป FAMILY ของบริษัทมาพักที่โรงแรมนี้เหมือนกันค่ะ เบลจึงได้ติดตามไปช่วยพี่ปุ้ยดูแลกรุ๊ปนี้ด้วย ซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นน้องๆหนูๆมากับคุณพ่อคุณแม่ค่ะ กรุ๊ปนี้จะมีทั้งหมด 15 ท่านค่ะ กิจกรรมในตอนเช้า  คือ ไปวัดอะซะคึสะ ซึ่งเป็นวัดเก่าแก่และมีชื่อเสียงที่สุดแห่งหนึ่งในโตเกียวค่ะ พี่ปุ้ยก็ได้พาเบลไปสักการะยังเทพเจ้าต่างๆ หลังจากนั้นก็พาไปยังถนนช้อปปิ้งของย่านนี้ คือ นากามิเสะโดริ ซึ่งมีของที่ระลึกสไตล์ญี่ปุ่น ร้านขนมแนวญี่ปุ่นมากมาย ให้เลือกซื้อกันค่ะ พี่ปุ้ยเองก็พาเบลไปลองชิมขนมซาลาเปาทอด ซึ่งขึ้นชื่อของที่นี่มาก จากที่เบลจำได้ต้องร้านนี้เลยค่ะ นับจากที่เราออกมาจากประตูวัด โคมไฟสีแดงลูกใหญ่เป็นร้านที่สาม อยู่ทางซ้ายมือ ใครไม่เชื่อต้องลองไปพิสูจน์รสชาติกันเองเองนะจ๊ะ

Asakusa Temple

ร้านซาลาเปาทอด @ถนนนากามิเสะโดริ
        จากนั้นเราก็รอลูกค้า ซึ่งเรานัดเจอกันที่โคมไฟสีแดงลูกใหญ่ ซึ่งเป็นสัญลักษณ์ประจำวัดนี้ค่ะ เพื่อจะพาทุกท่านไปรับประทานอาหารกลางวันกันที่ AOI ซึ่งเป็นร้านดังในย่านอะซะคึสะ ซึ่งร้านนี้เค้าจะขายแค่เทมปุระแค่นั้นนะ ขอบอกว่าใครอยากรับประทานต้องรอคิวกันหน่อย เพราะคนเยอะมากจริงๆค่ะ  แต่ต่างจากกรุ๊ปครอบครัวของเรานะค่ะ เพราะเราได้ทำการจองเรียบร้อยแล้ว ไม่ต้องรอต่อคิวให้เสียเวลา

Tempura@AOI

        ในช่วงบ่ายวันนี้เราจะพาเด็กๆไปสนุกกันที่ TOKYO DISNEYLAND เด็กๆต่างตื่นเต้นกันใหญ่     กับความสวยงามและความอลังการค่ะ ซึ่งก็ไม่ต่างกับเบลที่ตื่นเต้นไปด้วย ช่วงที่ไปที่นี่ตอนนี้กำลังจัดงานเป็นช่วงเทศกาลฮาโลวีนพอดี ซึ่งอย่างแรกที่เราจะพาลูกค้าไปเล่นก็คือ Pirate of the Caribbean ซึ่งเราก็ได้ปล่อยให้ลูกค้าได้สนุกสนานกันไป ส่วนเบลและพี่ปุ้ยก็วิ่งไปทำบัตร Fast pass ให้กับลูกค้า  ซึ่งก็คือบัตรเข้าเครื่องเล่นที่เป็นทางด่วนพิเศษ ไม่ต้องต่อคิว ในบัตร Fast Pass จะแจ้งรอบเวลาของเรา เพราะเมื่อถึงเวลาที่แจ้งไว้ในบัตร เราก็สามารถมาเล่นได้เลยค่ะ เห็นมั้ยค่ะว่าสบายแค่ไหน เราทั้งคู่ก็ทำ Fast Pass ของเครื่องเล่น Space Mountain ได้รอบเวลา 17.00 น. ซึ่งในระหว่างนั้นก็ปล่อยให้ลูกค้าได้เล่นตามใจชอบเลยค่ะ อิสระได้อย่างเต็มที่ เบลกับพี่ปุ้ยก็เช่นกันไปเล่นเครื่องเล่นที่ขึ้นชื่อของที่นี่ด้วย อย่าง Big Thunder Mountain ใช้เวลาในการต่อคิวประมาณชั่วโมงครึ่ง แต่เราไม่ย่อท้อค่ะ ยืนกันจนขาแข็งก็ยอม หลังจากนั้นเราก็ถ่ายรูปกันไปเรื่อยๆ ทั้งเพลิดเพลินและสนุกสนานค่ะ
บัตรเข้า Tokyo Disneyland


  
        จนเวลาประมาณหกโมงเบลและพี่ปุ้ยก็ช่วยกันไปจองพื้นที่เพื่อรอดูการแสดงโชว์                  Tokyo Disneyland Electrical ซึ่งเป็นขบวนพาเหรดที่เต็มไปด้วยแสง สี เสียง อลังการงานสร้่าง ทำการจองพื้นที่โดยการเอาเสื่อที่เตรียมมาเพื่อให้ลูกค้าได้นั่งชมการแสดงค่ะ ไม่ต้องไปเบียดเสียดผู้คนอีกด้วย ซึ่งขบวนพาเหรดจะเริ่มการแสดงเวลาประมาณหนึ่งทุ่มครึ่ง ได้นัดเวลากับกรุ๊ปของเราในเวลาหนึ่งทุ่มตรง เพื่อพามายังบริเวณที่ได้จองพื้นที่ไว้ให้ค่ะ เด็กๆในกรุ๊ปของเราก็ต่างตื่นเต้น และเพลิดเพลินอีกแล้วค่ะ ลองดูรูปที่เบลเอามาฝากบางส่วนล่ะกันนะค่ะ ว่าจะสวยแค่ไหน:)

        เช้าวันสุดท้ายในญี่ปุ่นกันแล้วคร่า เบลก็กลับมาดูแลกรุ๊ป EDP ตามเดิม ในวันนี้จะเป็นวันสบายๆ ตามใจกรุ๊ปของเบลกันเลยแล้วแต่เลือกเลยว่าอยากไปไหน จะมีให้เลือก 2 option คือ ย่านโอโมเทะซันโด-ย่านชิบูย่า หรือจะเป็น ย่านอูเอโน่-ย่านกินซ่า ส่วนเบลก็ขอไปดูแลกรุ๊ปแรกล่ะกันนะค่ะ คือ ย่านโอโมเทะซันโด - ย่านชิบูย่า แต่ในช่วงเช้าเราจะพาลูกทัวร์ไปเดินขำๆยัง ตลาดปลา Tsukiji ซึ่งบรรยากาศก็คล้ายๆกับบ้านเรา เป็นตลาดปลาที่ส่วนใหญ่จะมีพ่อค้าแม่ค้ามาจับจ่ายหาซื้ออาหารทะเลกันมากมาย  เอาเป็นว่า เบลขอบรรยายด้วยรูปถ่ายล่ะกันนะค่ะ


Tsukiji

        พอถึงเวลาอันสมควรแล้ว เราก็จะพาไปชอปปิ้งกันจริงๆจังๆสักที กับย่านโอโมเทะซันโด ซึ่งเต็มไปด้วยแบรนด์ดังๆมากมาย ร้านแรกที่ใครๆก็ต่างเรียกร้องต้องที่นี่เลยค่ะ Issey Miyake ขอบอกค่ะ เบลคิดว่าเค้าแจกฟรี เพราะเข้ากันไปนึกว่าไปเหมามาแจกซะอีก (แบบถ่ายมาด้วยล่ะ อิอิ)
Issey Miyake Shop

ซึ่งในช่วงบ่ายเรามีบริการพิเศษหนึ่งเมนูค่ะ ก็คือราเมนในย่านชิบูย่า ซึ่งก็แล้วแต่เลยค่ะ ว่าใครอยากจะมารับประทานหรืออยากจะชอปปิ้งต่อ เราก็ไม่ว่ากัน:) ซึ่งในย่านชิบูย่านี้เอง ก็มีห้างดังๆ อย่าง Tokyu Hands, Parco และอีกมากมายค่ะ ลืมบอกไปว่า ไม่ต้องกลัวหลงนะค่ะ เพราะมีแผนที่ให้สำหรับทุกคนค่ะ ว่าจะเดินไปทางไหน มีร้านอะไรบ้าง ไม่ต้องไปเดินหาให้เสียเวลาอีกด้วย เอาล่ะค่ะพอถึงเวลานัดหมายควรแก่เวลาแล้ว มื้อเย็นของวันนี้ เราจะพาไปจัดหนักกันที่ ร้าน Kanidoraku ที่ย่านชินจูกุกันค่ะ บริการด้วยหม้อไฟสุกี้ "ปูซูไว" ซึ่งเป็นที่ขึ้นชื่อของโอซาก้ากันเลยล่ะ ซึ่งเป็นเนื้อปูสด ไม่มีการนำมาแช่แข็งนะจ๊ะ
Kanidoraku

     
        หลังจากอิ่มหนำสำราญกันแล้ว ก็ถึงเวลาต้องเดินทางไปยังสนามบินฮาเนดะ เพื่อเดินทางกลับยังประเทศไทยกันแล้วค่ะ  มาถึงสนามบินทุกคนก็เตรียมแพคจัดแจงข้าวของค่ะ ส่วนเบลเองทั้งยัด ทั้งกด นั่งทับกระเป๋า กว่าจะได้ เล่นเอาเหนื่อยเหมือนกันค่ะ เราเดินกลับโดยสายการบินเจแปนแอร์ไลน์ เช่นเดิม เที่ยวบินที่ JL033 เวลา 00.40 น. พอทุกคนต่างขึ้นเครื่องเท่านั้นละค่ะ ต่างหลับเพราะความเหนื่อยกันทั้งนั้น เบลก้อเช่นเดิมค่ะ ขอนอนให้เต็มที่เลย คร็อกกกกก:// เครื่องลงยังสุวรรณภูมิแล้วคร่า เวลาโดยประมาณของประเทศไทย ในเวลา 05.50 น. เราก็ต่างพากันไปรอรับกระเป๋าพร้อมๆกับคณะทัวร์ของเราค่ะ จนหมดทุกคนแล้ว จึงเดินทางกลับบ้านใครบ้านมันแล้วล่ะค่ะ 
        
        จากประสบการณ์ครั้งแรกกับการเดินทางในต่างแดน ขอบอกว่าได้อะไรกลับมามากมายจริงๆ มีทั้งเหนื่อย ง่วง สนุก และมิตรภาพ ที่ได้รับจากงานที่เบลรัก ได้รับมิตรภาพจากในคณะทัวร์เอง และจากคนญี่ปุ่น ถ้ามีการเดินทางครั้งหน้าต่อไปยังไง เบลจะนำมาเล่าสู่ให้ฟังกันอีกเรื่อยๆนะคร่า I love Japan:)